พอถึงตอนที่เราเริ่มจะสวดบทข้าแต่พระบิดา องค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตรัสเป็น
ครั้งแรก “ช้าก่อน เราต้องการให้ลูกสำรวมจิตใจสวดอย่างจริงจัง ในช่วงเวลานี้จง
ระลึกถึงคนที่เคยมุ่งร้ายต่อลูกในช่วงชีวิตของลูก เพื่อว่าลูกจะได้กอดเขาไว้แนบ
อกและบอกเขาอย่างจริงใจว่า “เดชะพระบารมีของพระเยซูเจ้า ฉันยกโทษให้คุณ
และขอให้คุณประสบสันติสุข เดชะพระบารมีของพระเยซูเจ้า ฉันขอให้คุณยก
โทษให้ฉันและขอให้คุณอวยพรให้ฉันประสบสันติสุข” ถ้าคนคนนั้นคู่ควรจะได้รับ
ความสงบสุขนั้น เขาก็จะได้รับและรู้สึกดีขึ้น ถ้าหากว่าคนคนนั้นไม่สามารถเปิดใจ
รับสันติสุขได้ สันติสุขนั้นก็จะกลับมาอยู่ในจิตใจของลูก แต่เราไม่ต้องการให้ลูก
รับหรือมอบสันติสุขให้ใครถ้าลูกให้อภัยไม่ได้และไม่ได้ซาบซึ้งถึงสันติสุขในจิตใจแต่
แรก”

พระองค์ตรัสต่อ “จงรอบคอบในสิ่งที่ลูกทำ ถ้าลูกกล่าวตามบทข้าแต่
พระบิดาว่า ‘โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น’
ถ้าลูกสามารถให้อภัยแต่ยังฝังใจอยู่ ก็เหมือนกับที่บางคนกล่าวไว้ ลูกกำลัง
วางเงื่อนไขกับการให้อภัยของพระเป็นเจ้า ลูกกำลังบอกว่า พระองค์ยกโทษให้
ลูกเท่าที่ลูกสามารถยกโทษให้คนอื่นก็พอ”

ฉันไม่รู้จะแจกแจงความเจ็บปวดของฉันได้อย่างไรเมื่อสำนึกได้ว่าเราทำร้ายองค์
พระผู้เป็นเจ้าและทำร้ายตัวเราเองได้มากมายขนาดไหนจากการผูกใจเจ็บ เก็บความ
รู้สึกที่ไม่ดีไว้ อคติมองเห็นแต่ข้อบกพร่องของคนอื่นแล้วก็ขุ่นเคืองง่ายเกินเหตุ
ฉันให้อภัยแล้ว ฉันให้อภัยแล้วจากใจจริง และขอให้ทุกคนที่ฉันเคยทำให้เสียใจ
โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเพื่อฉันจะได้ซาบซื้งถึงสันติสุขขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ประธานในพิธีกล่าว “...โปรดให้พระศาสนจักรสงบราบรื่น มีสามัคคีธรรม...”
แล้วจากนั้น “ขอให้สันติสุขของพระคริสตเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเสมอ”



ทันใดนั้น ฉันเห็นว่าในบรรดาคนที่กอดกันอยู่นั้น (ไม่ทุกคน) มีแสงแรงกล้า
มาแทรกตรงกลางระหว่างเขา ฉันรู้ว่านั่นคือพระเยซูเจ้า ฉันโผเข้ากอดคนที่อยู่ถัด
จากฉันได้อย่างสะดวกใจ ฉันสามารถสัมผัสอ้อมกอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้
จริงๆ เป็นพระองค์นั่นเองที่กอดฉันเพื่อมอบสันติสุขของพระองค์ให้แก่ฉัน เพราะ
ในขณะนั้น ฉันสามารถให้อภัยและขจัดความขุ่นใจต่อคนอื่นสำเร็จ นั่นคือสิ่งที่
พระเยซูเจ้าปรารถนาเพื่อแบ่งปันห้วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีร่วมกัน พระองค์
กอดเราและมอบสันติสุขของพระองค์ให้แก่เรา