สนธิสัญญาลาเตรัน
กองทัพรวมชาติอิตาลียึดกรุงโรมเป็นนครหลวงของอิตาลีในปี
ค.ศ.1870 จำกัดเขตให้สันตะปาปามีสิทธิปกครองเฉพาะในวังวาติกัน แต่ก็ออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิของสันตะปาปาเหนือมหาวิหารในกรุงโรม
และถือว่าองค์สันตะปาปามีสิทธิที่จะได้รับการยกย่องนับถืออันผู้ใดจะละเมิดมิได้
นอกจากนั้นยังถวายค่าเลี้ยงดูสันตะปาปาเป็นเงินปีละ 3,255,000 ลีร์ แต่สันตะปาปาไพอัสที่
9 (Pius IX) ในขณะนั้นรู้สึกว่าถูกบีบบังคับอย่างไม่เหมาะสมและอาจจะถูกเพ่งเล็งว่าสถาบันสันตะปาปาตกอยู่ใต้การอุปถัมภ์ของรัฐบาลอิตาลี
ทำให้ไม่เป็นกลางพอสำหรับปกครองชาวคาทอลิกทั่วโลกจึงปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอและทรงประท้วงด้วยการขังตัวพระองค์เองอยู่ในเขตวังวาติกันเท่านั้น
ซึ่งก็มีผลทำให้รัฐบาลอิตาลีมีปัญหาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพอสมควร
เมื่อมุสโสลินีเริ่มมีอำนาจขึ้นก็สนใจแก้ปัญหานี้เป็นอันดับแรกๆ โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นจาก
2 ฝ่าย พิจารณาปัญหาและหาทางออกที่ดีที่สุด ในที่สุดก็ตกลงเซ็นสัญญาลาเตรันกันระหว่างมุสโสลินีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลอิตาลีกับพระคาร์ดินัลกัสปารี
(Cardinal Gaspari) เลขาธิการรัฐวาติกันในขณะนั้น ข้อตกลงที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
1.รัฐบาลอิตาลียอมรับรู้ในบูรณภาพของนครรัฐวาติกันที่มีสันตะปาปาเป็นองค์ประมุข
ไม่ว่าสันตะปาปาจะมาจากชนชาติใดก็ตาม
2.รัฐบาลอิตาลียอมรับรู้ว่าคาร์ดินัลทุกองค์มีฐานะเป็นเจ้าชายของรัฐวาติกัน
ไม่ว่าคาร์ดินัลจะถือสัญชาติใดก็ตาม
3.รัฐบาลอิตาลีถือว่าคริสตศาสนานิกายคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งจะต้องอุปถัมภ์ให้ความสะดวก
(ปัจจุบันข้อนี้ยกเลิกแล้ว)
4.รัฐบาลอิตาลียอมชดใช้ค่าเสียหายแก่นครรัฐวาติกันเป็นเงินสด 750 ล้านลีร์
และเป็นพันธบัตรอีก 1,000 ล้านลีร์
5.รัฐบาลอิตาลีจะสร้างสถานีรถไฟวาติกันและสร้างทางไปเชื่อมกับสถานีวีแตร์โบ
(Viterbo) ของอิตาลี ตลอดจนยินยอมให้รถไฟพระที่นั่งขององค์สันตะปาปาใช้ทางรถไฟของอิตาลีได้ทุกเวลา
อย่างไรก็ตามพรรคฟาสซิสต์คงรับรู้สันธิสัญญาลาเตรันเท่าที่จะเป็นเพื่อติดต่อกับต่างประเทศได้เท่านั้น
สันตะปาปายังคงประท้วงโดยขังพระองค์อยู่ภายในเขตวังวาติกันต่อมาตลอดสมณสมัยของสันตะปาปาลีโอที่
13 (Leo XIII) ไพอัสที่ 10 (Pius X) เบเนดิกต์ที่ 15 (Benedict XV) ไพอัสที่
11 (Pius XI) และไพอัสที่ 12 (Pius XII) ผลจากการประท้วงดังกล่าวช่วยให้พรรคคริสเตียนดีโมแครทของอิตาลีชนะการเลือกตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่
2 โดยเสนอนโยบายว่าจะรักษาสนธิสัญญาลาเตรันอย่างเคร่งครัด และจะปล่อยสถาบันสันตะปาปาเป็นอิสระจากการเมืองของอิตาลี
อย่าไรก็ตามหลังสงครามโลกเศรษฐกิจของอิตาลีตกต่ำมาก ประชาชนยากจนค่นแค้น
การที่รัฐบาลพรรคคริสเตียนดีโมแครทของอิตาลีโอบอุ้มศาสนาเกินไป นอกจากจะเสียงบประมาณแผ่นดินมากเกินไปแล้ว
ยังมีผลให้นักบวชนักพรตทั้งหลายมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานอีกด้วย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งอิตาลีจึงใช้เป็นประเด็นหาเสียงจนกลายเป็นพรรคคู่แข่งที่สำคัญ
สันตะปาปายอห์นที่ 23 (John XXIII) ได้รับเลือกในปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501)
เห็นการณ์ไกล รีบวางนโยบาย "ปรับตัวให้ทันเหตุการณ์" (Aggiornamento) ประกาศนโยบายสร้างเอกภาพในพหุภาพ
และสร้างมิตรไมตรีกับทุกฝ่าย กล่าวสั้นๆ ก็คือร่วมมือกันโดยไม่ต้องคิดเหมือนกันได้ออกจากวังวาติกันเพื่อเยี่ยมเยียนและร่วมพิธีทางศาสนาในที่ต่างๆ
ทั่วอิตาลี ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นหลายคณะเพื่อดำเนินตามนโยบายที่ประกาศไว้
สนับสนุนความคิดริเริ่มในทุกด้าน
เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันขึ้นมากมายจนคนจำนวนวมากไม่อาจจะตามทัน
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายทั้งในทางลบและทางบวก บางคนก็เข้าใจผิดและตีความเจตนาของพระองค์ผิดทั้งภายในคริสตจักรคาทอลิกและบุคคลภายนอก
ชาวโปรเเตสแตนท์จำนวนหนึ่งชื่นชมในความมีพระทัยกว้างของพระองค์และพร้อมที่จะเจรจาเพื่อความร่วมมือระหว่างนิกายต่างๆ
ในคริสตจักรทั้งหมด แต่ส่วนมากแคลงใจว่าอาจจะเป็นนโยบายดึงสมาชิกหรือไม่
สันตะปาปายอห์นที่ 23 ต้องรีบดำเนินนโยบาย เพราะทรงเห็นว่าเวลาของพระองค์มีน้อย
จึงตัดสินพระทัยเรียกประชุมสังคายนาวาติกันที่ 2 ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายคิดว่ายังไม่พร้อม
พระองค์ถึงแก่มรณภาพในระหว่างสังคายนานั้นเอง สันตะปาปาต่อๆ มาคือปอลที่
6 (Paul VI) ยอห์นปอลที่ 1 (John Paul I) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยอห์นปอลที่
2 (John Paul II) คงสืบทอดเจตนารมณ์ต่อมา และขยายกว้างออกไป เช่น ออกเยี่ยมเยียนคริสตชนทั่วโลกทุกนิกายและศาสนิกของทุกศาสนา
ตั้งกรรมาธิการเพิ่มขั้นอีกเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมต่อเจตนารมณ์ของสังคายนาวาติกันที่
2 ปัญหาสำคัญที่ต้องแก้กันอย่างหนักเรื่อยมาก็คือ การตีความเจตนารมณ์ของสังคายนาวาติกันที่
2 อย่างไม่ถูกต้อง ความเข้าใจผิดมีทั้งในกลุ่มคาทอลิกเองและนอกกลุ่ม ภายในคริสตจักรคาทอลิกเองมีบางตีความเลยเถิดเกินไปจนกลายเป็นเครื่องมือตอบสนองความต้องการส่วนตัว
บางคนตีความว่าเป็นนโยบายใหม่เพื่อทำลายนิกายอื่น (โปรเเตสแตนต์และออร์โทดอกซ์)
หรือศาสนาอื่นๆ ทั้งหมด ความเข้าใจผิดเช่นนี้พบได้แม้ในหมู่ผู้มีสมณศักดิ์ระดับสูงและมีตำแหน่งหน้าที่ระดับสูง
ซึ่งต้องปรับความเข้าใจกันอยู่ตลอดเวลา และบางครั้งการปรับความเข้าใจกันทำได้ยากมาก
กว่าจะสำเร็จก็ต้องใช้เวลา ชาวคาทอลิกบางคนก็มองว่าการปรับปรุงตัวเองเช่นนี้เป็นการทำลายตัวเอง
จึงรวมตัวกันต่อต้านอย่างเปิดเผย จนถึงกับวางแผน:-)พระประมุขเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็มี
โดยหวังว่าอาจจะได้คนหัวเก่าที่จะดึงทุกอย่างเข้าสู่สภาพเดิมก่อนสังคายนา
เหล่านี้เป็นปัญหาหนักหน่วงที่สันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 จะต้องเผชิญและพยายามแก้ไขโดยหวังว่าจะนำโลกสู่สันติภาพได้ด้วยหลักการแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ร่วมมือกันได้โดยไม่ต้องคิดเหมือนกัน แต่เคารพศรัทธาของกันและกันด้วยบริสุทธิ์ใจและจริงใจต่อกัน
ทั้งนี้โดยออกสมณสาสน์ (Encyclicals) ถึงคริสตชนคาทอลิกอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาควบคู่กับการเสด็จออกจากนครวาติกันเยือนประเทศต่างๆ
เพื่อออกแถลงการณ์
แหล่งข้อมูล
ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก ศาสตราจารย์ กีรติ บุญเจือ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
( 2000 )
Edizioni Musei Vaticani : Vatican , 1999
อ่านได้จาก http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W1888178/W1888178.html