การช่วยตัวเองทางเพศนั้นบาปหรือไม่อย่างไร?
คุณพ่อ ไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R.

( มิถุนายน 2001)

จากหนังสือคำสอนเล่มใหม่ที่ประกาศใช้โดยพระสันตะปาปายอห์นพอลที่สอง ข้อที่ 2396 บอกว่าโดยตัวมันเองการช่วยตัวเองทางเพศเป็น บาป ครับรวม ทั้งบาป Fornication, (การใช้เพศนอกศีลแต่งงาน) Homosexual, Pornography) เป็นบาปที่ตรงกันข้ามหรือผิดต่อความบริสุทธิ์

ในแง่นี้จะสังเกตว่านักเทววิทยาเองพยายามเน้นให้เข้าใจคำว่า บาป หรือ Sin ให้กระจ่างด้วย เนื่องจากพฤติกรรมของคนเรานั้นจะเข้าข่ายของบาปได้ต้องพิจารณาถึง สิ่งที่ทำ เจตนาผู้กระทำ และสภาพแวดล้อมนั้นๆ เนื่องจากไม่สามารถจะบอกลงไปได้ว่าพฤติกรรมของคนๆหนึ่งที่ช่วยตัวเองทางเพศนั้นเกิดขึ้นมาจากแรงกระตุ้นอะไร เพราะฉะนั้นต่อคำถามที่ว่าบาปหรือไม่นั้นตัวของมันเองนั้นเป็นบาปแต่คนที่ได้กระทำนั้นได้กระทำบาปหรือเปล่าอันนี้ไม่สามารถจะตอบได้เพราะเป็นเรื่องของเจ้าตัวเองว่ามีเจตนาเช่นไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากบุคคลถูกรุมล้อมด้วยแรงกดทางภายนอกให้เขาต้องเครียด เขาอาจต้องปลดปล่อยความเครียดนั้นในชวยตัวเองทางเพศ หรือบุคคลมีความผิดปรกติทางฮอร์โมนผิดปรกติก็จะถูกกดดันให้เขาต้องกระทำแม้ใจของเขาไม่อยากดังนี้เป็นต้น


การที่จะบอกว่าคนหนึ่งคนใดทำบาปหรือเปล่านั้นเรามนุษย์ไม่สามารถจะตัดสินใครได้เนื่องจากเราไม่รู้สภาพแวดล้อม สภาพของจิตใจของผู้ใดได้ พระศาสนจักรได้วางมาตรการไว้กว้างๆ ตามบัญญัติสิบประการดังที่เราทราบดีว่าเป็นบัญญัติของพระเป็นเจ้า อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการตีความและแจกแจงเหตุผลว่าพฤติกรรมนั้นๆเข้าข่ายผิดมากผิดน้อยเพียงใดต่อพระบัญญัติ


นักจริยศาสตร์ในยุคปัจจุบันอยากเปลี่ยนแนวคิดของคริสตชนเราให้หันมามองด้านบวกมากกว่าด้านลบ ความหมายคือ แทนที่คนเราจะมองแต่ด้านบาปมากเกินไปก็ให้หันมามองด้านความเมตตาของพระเป็นเจ้าให้มากขึ้น โดยพยายามอธิบายว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับความอ่อนแอ การตกลงในความผิดหรือไม่ได้มาตรฐานตามกฏนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอในความเป็นมนุษย์ ขอให้เรามองไปที่พระเมตตาและเน้นการกลับใจให้มากขึ้น อันที่จริงเพราะบาปนั่นเองพระผู้ไถ่ถึงได้เสด็จมาเพื่อเรา นั่นคือผลดีที่เกิดจากบาป

ท่าทีของนักเทวศาสตร์เกี่ยวกับบาปคืออะไร?
คำสอนของเราบอกว่าบาปแบ่งได้สองประการคือบาปหนักและเบา นักเทวศาสตร์ปัจจุบันมองว่าคนเราจะทำบาปหนักบริสุทธิ์จริงๆได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะนั่นหมายความว่าเขาจะต้องรักตัวบาปนั้นจริงๆเต็มหัวใจ เขาจะต้องต่อต้านพระเป็นเจ้าจริง กระนั้นก็ตามไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะคนประเภทนี้ก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าจะนับเป็นจำนวนแล้วก็น้อย ส่วนใหญ่คนเรามักจะทำบาปเนื่องจากมีแรงกดดันด้านอื่นๆเขามาแทรก รวมถึงบาปหนักเช่นการฆ่าคน การทำแท้ง ฯลฯ ยิ่งทุกวันนี้วิทยาการด้านจิตวิทยาและการแพทย์เจริญมากขึ้น ชี้ให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของคนเรานั้น ฮอร์โมนในร่างกาย ความผิดปรกติของยีนส์มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้คนเราเมื่อเติบโตขึ้นมามีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน การตัดสินว่าพฤติกรรมหนึ่งๆเป็นบาปโดยมิได้ตระหนักถึงความผิดปรกติของยีนส์ในร่างกายเลยนั้นก็ไม่ถูกต้อง เช่น คนเมาลืมตัวฆ่าเพื่อนด้วยโทสะ อันนี้ก็เห็นได้ชัด แต่ถ้ากรณีที่เห็นไม่ชัดแต่มีผลจริงเช่น คนที่มีความผิดปรกติทางจิตใจแล้วเขาฆ่าคนอื่น เราจะว่าอย่างไร บาปของเขานั้นเท่ากับบาปของคนที่มีจิตปรกติดีหรือ คนที่ถือว่าคนเราเกิดมาบริบูรณ์เมื่อทำผิดก็ต้องรับผลเต็มที่ แต่คนเราเกิดมาบริบูรณ์จริงหรือ คำว่าสมบูรณ์ของคนเรานั้นสมบูรณ์ขนาดไหน มองจากภายนอกหรือว่าต้องมองจากภายในด้วย นี่คือสิ่งที่ท้าทายเราในทุกวันนี้ในการมองว่าอะไรบาปหรือไม่บาป

ด้วยเหตุผลอะไรพระศาสนจักรถึงบอกว่าการช่วยตัวเองทางเพศเป็นพฤติกรรมที่ผิด? ด้วยเหตุผลที่พระศาสนจักรถือว่าชีวิตเป็นผลงานที่ล้ำค่าของพระเป็นเจ้าและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามนุษย์ต้องให้ความเคารพ พฤติกรรมที่ทำให้องค์ประกอบของการกำเนิดชีวิตเสียหายโดยตั้งใจเพียงเพื่อความพึงพอใจของตัวเองเท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (ฟังแล้วก็เข้าใจยากใช่ไหมครับ เพราะมันเป็นปัญหาที่คล้ายกับการที่เราจะแยกช่วงไหนว่าเป็นสีขาวหรือสีเทาหรือสีดำ มันแยกยากครับ ดังนั้นพฤติกรรมของเราจึงต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก แต่เจตนาเองจะถูกครอบงำด้วยแรงกดดันทั้งภายนอกและภายในก็ได้เช่นกัน เช่นนี้แล้ว เจตจำนงของเราก็มีปัญหา และนี่คือปัญหาทางจริยศาสตร์ในปัจจุบันที่กำลังเผชิญอยู่ครับว่าเราจะชี้ชัดได้อย่างไรว่าเจตจำนงอยู่ที่ใด เกิดขึ้นเมื่อได้ มีผลกระทบจากที่ไหน เมื่อไหร่บ้าง) นอกนั้นพระศาสนจักรยังถือว่าการช่วยตัวเองทางเพศขัดต่อคุณธรรมความบริสุทธิ์และบูรณการของธรรมชาติของเพศมนุษย์
พระศาสนจักรไม่ได้เชื่อพระคัมภีร์อีกต่อไปแล้วหรือถึงพูดอะไรเหมือนไม่เคารพพระคัมภีร์เลย?
หามิได้ พระศาสนจักรยังเคารพพระคัมภีร์คือเสียงของพระเป็นเจ้าเช่นเดิม แต่ความเข้าใจพระคัมภีร์ก็มีการพัฒนามากขึ้น พระศาสนจักรต้องตีความพระคัมภีร์อย่างรอบคอบ สิ่งที่ต้องระวังมากคือการตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรโดยมิได้เข้าใจถึงเจตจำนงและสภาพแวดล้อมของผู้เขียนในยุคนั้น ความผิดพลาดนี้พระศาสนจักรเคยทำผิดมาแล้วเมื่อใช้พระคัมภีร์เหมือนหนังสือวิทยาศาสตร์เรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือตีความเรื่องการเสด็จมาอีกครั้งของพระคริสตเจ้า ดังที่เกิดปัญหาการฆ่าหมู่ของสาธุคุณ จิมส์โจนที่ กิยานาซึ่งทำให้คนตายถึงเก้าร้อยกว่าคน หรือที่เกิดเร็วๆนี้ก่อนปีสองพันที่เกาหลี หรือที่ คานุงกุ ประเทศอูกันดาซึ่งคนตายไม่น้อยกว่าสี่ร้อยคน เพียงเพราะผู้นำหลงผิดในความเข้าใจในพระคัมภีร์ จะเห็นได้ว่าแม้พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะเป็นพื้นฐานทางจริยธรรมของเราก็จริงแต่เราก็ต้องพยายามเข้าใจตัวจริยธรรมนั้นเองด้วยว่าหมายถึงอะไร ลึกซึ้งเพียงใด มีผลกระทบในภาคปฏิบัติอย่างไร สภาพแวดล้อมในคำสอนของพระคัมภีร์ยุคนั้นกับยุคปัจจุบันต่างกันเช่นไร ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่คนในอดีตถือว่าบาปเช่นการถูกเกณฑ์เป็นทหารนั้นปัจจุบันก็ไม่ถือว่าเป็นบาปแล้ว(แม้บางลัทธิจะยังถืออยู่เช่น กลุ่มพี่น้องพยานยะโฮวา) บาปการหักดอกเบี้ยซึ่งอดีตถือว่าผิดเพราะเป็นการขูดรีดคนจนที่มากู้และผิดต่อความรัก ในปัจจุบันนี้พระศาสนจักรก็ให้ขึ้นอยู่กับมโนธรรมของเจ้าของเงินเองว่าจะคิดดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์เป็นต้น สรุปคือ พระศาสนจักรยึดถือพระคัมภีร์เป็นรากฐานทางจริยศาสตร์แน่นอนแต่ก็ไม่แนะนำให้คริสตชนตีความพระคัมภีร์ตามใจตัวเองเกินไป การสุดโต่งไม่ว่าจะซ้ายหรือขวานั้นย่อมไม่ใช่ทางไปสู่ความจริงแน่นอน


จากปัญหาดังกล่าวพ่อขอแนะนำในด้านการอภิบาลดังต่อไปนี้

หนึ่ง : เมื่อเกิดความรู้สึกอยากช่วยตัวเองทางเพศ
ขอให้พยายามต่อสู้และปัดความคิดไปทางอื่น เรียกหาพระองค์ช่วย บอกพระองค์ว่าลูกไม่อยากทำให้พระองค์เสียพระทัย นั่นจะช่วยตั้งมโนธรรมของเราให้อยู่ในทางที่ตรงได้ แม้เราจะทำผิดอีกก็จะช่วยได้ว่าเจตจำนงของเราไม่ได้ต้องการทำบาปแต่มันอาจจะเกิดจากภาวะของฮอร์โมนผลักดันหรือสภาพแวดล้อมผลักดัน


สอง : ถ้าทำผิดแล้วมโนธรรมเตือนเรา เราควรจะทำอย่างไร
ก็ให้ขอโทษพระองค์ในใจ หรืออาจทำกิจการดีอื่นชดเชย การช่วยตัวเองคงไม่ร้ายแรงถึงเป็นบาปหนัก (แต่ถ้าลุ่มหลงในมันมากเกินไปก็จะนำไปสู่บาปหนักได้เนื่องจากอภัยตัวเองจนเคยตัว) ดังนั้นการชดเชยเช่น การสวดสายประคำ การทำบุญให้ทาน การร่วมมิสซาอย่างดีก็จะช่วยชดเชยความผิดได้


สาม : จำเป็นเสมอไปหรือไม่ที่ต้องบอกบาปกับคุณพ่อเวลาช่วยตัวเอง
คำตอบคือไม่จำเป็นเสมอไป เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า เครื่องหมายของการกลับใจนั้นทำโดยวิธีอื่นก็ได้ เช่น ร่วมมิสซาอย่างดี สวดเรียกหาพระองค์ให้มากขึ้น ไปสวดตามวัดต่างๆ ดังนี้เป็นต้น แต่ถ้าเป็นบาปหนักอื่นก็จำเป็นต้องแก้บาปกับคุณพ่อครับเพราะพระศาสนจักรสอนว่าบาปหนักนั้นต้องการศีลแก้บาปเป็นเครื่องเยียวยา
หวังว่าคงจะช่วยให้กระจ่างได้บ้างต่อปัญหาข้อนี้นะครับ