เป็นเวลา 11
ปี ระหว่างเวลาที่ แมรี่ เบิร์ก ไพรซ์ ผู้จัดการศูนย์การศึกษาศิษยาภิบาล
หลุยส์เวล เคนตัคกี้ ที่ โรงพยาบาล ที่ซึ่งเธอให้กำเนิดลูกของเธอ และเป็นที่ซึ่งเรื่องราวของการตาย
ได้เข้ามาเยือนชีวิตเธอ แต่ทั้งสองเรื่องกลับทำให้เธอกลายเป็น โปรแตสแตนท์นิกายแบตติสที่ศรัทธาแม่พระ
(Marian Baptist) ตัว เบิร์ก ไพรซ์ นั้นเติบโตมาโดยไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของพระนางมารีย์เลย
แต่ในปี 1987 ในวันคริสต์มาสอีฟ เธอประสบปัญหาการคลอดยากที่มีความเสี่ยงสูงมาก
การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ในเวลาต่อมา เธอกำลังนั่งกล่อมทารกวัย 4
เดือนของเธออยู่ที่ม้านั่งในโบสถ์ที่เธอไปประจำในหลุยส์เวล เธอสัมผัสประสบการณ์นั้นทั้งหมด
และ ตระหนักด้วยตัวเองว่าการตั้งครรภ์ของพระนางมารีย์นั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก
เช่นเดียวกับเรื่องการประสูติของพระเยซู
ในปี 1998
เพื่อนสนิทของเธอเสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เบิร์ค ไพรซ์ ได้เดินทางไปที่ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยชนบท
ที่ดำเนินงานโดยสมาชิกคาทอลิกท้องถิ่นที่อาศัยอยู่แถบนั้น ในคืนหนึ่งขณะที่เธอกำลังเดินร้องไห้สะอื้นคร่ำครวญ
ภาวนา และ ถามด้วยความสงสัยในใจว่า ทำไม อยู่นั้น เธอพบตัวเองอีกทีอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นหินอ่อนขนาดใหญ่ของพระนางมารีย์ที่อยู่ติดกับโรงนา
พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระนางแผ่ขยายออก ขณะที่พระพักตร์ของพระนางมองลงมาเบื้องล่าง
ก้มลงมามองเธอ กับความรู้สึกเมตตาสงสารอันยิ่งใหญ่ที่เธอสามารถสัมผัสได้จากพระนาง
ตอนนั้นฉันตระหนักขึ้นมาทันทีว่าพระนางทรงเข้าใจว่าฉันรู้สึกเช่นไร
เพราะพระบุตรสุดที่รักของพระนางก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเช่นกันที่พระนางต้องอดทนต่อความรู้สึก
ความเจ็บปวด และ ทุกขเวทนาสุดแสนจะพรรณนาออกมาได้ ฉันรู้สึกราวกับว่าพระนางทรงไขแสดงให้ฉันได้ตระหนักถึงพระเมตตาอย่างล้นพ้นที่พระเป็นเจ้าทรงมีให้กับฉัน
ด้วยการสัมผัสฉันผ่านประสบการณ์จริง
เบิร์ค ไพรซ์
ยังอยู่ในคริสตจักร แบตติส แต่ออฟฟิซของเธอนั้นเต็มไปด้วยแม่พระแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
รูปปั้นกระเบื้อง รูปภาพ จนถึงบัตรภาวนา ทั้งหมดล้วนมีภาพพระแม่มารีย์
หรือ เกี่ยวกับพระแม่มารีย์ ด้วยกันทั้งสิ้น เธอจะมีสายประคำเส้นหนึ่งไว้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นคาทอลิค
เธอบอกว่า
และในบางครั้ง ฉันรู้จักบทสวดพวกนั้นดีกว่าพวกเขาเองเสียอีก
เบิร์ค ไพรซ์ ถูกดึงดูดด้วยสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น เสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของพระนางมารีย์ก็ว่าได้
นั่นคือพระนางเป็นศูยน์รวมของภาพลักษณ์แห่งความรักแบบคริสตชนของช่วงเวลาสำคัญสองช่วงคือ
ช่วงเวลาแห่งการกำเนิด และช่วงเวลาแห่งความตาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทางโปรแตสแตนท์ออกตัวปฏิเสธอย่างเป็นทางการ
แต่ก็เหมือนเป็นการห่างเหินมาแต่แรกแล้วเสียมากกว่า ความกระหายในสิ่งนี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมผ่านทางภาพยนตร์
The Passion of the Christ ของ เมล กิ๊บสัน ศิษยาภิบาลอนุรักษ์นิยมหลาย
ๆ คนได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร คริสเตียนนิตี้ ทูเดย์ ว่า พวกเขารู้สึกดี
และชื่นชมกับฉากหลาย ๆ ฉากของพระแม่มารีย์ในภาพยนตร์ ที่ไม่ได้มีกล่าวไว้โดยตรงในพระคัมภีร์
แต่ถูกเพิ่มเข้ามา คือ ฉากที่พระแม่เห็นพระบุตรถูกโบยต่อหน้าต่อตา ฉากที่พระแม่ไปซับพระโลหิตบนพื้น
ฉากพระแม่จูบพระพักตร์อาบโลหิตของพระบุตร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากตอนที่พระเยซูคริสต์ทรงแบกกางเขนแล้วล้มลง
ได้ย้อนความหลังตอนที่พระกุมารเยซูล้มลงและร้องไห้ และพระแม่มารีย์วิ่งเข้าไปอุ้มพระองค์ขึ้นมาในอ้อมแขนของพระแม่
นอกจากนี้
ฉากอันน่าสะเทือนใจจากภาพยนต์ฉากนั้น ยังทำให้ ความเป็นโปรแตสแตนท์ ของบูคานัน
รู้สึกกระทบอะไรบางอย่างด้วย
ผม และ คุณ ต้องมาพิจารณากันถึงเรื่องศรัทธาในแง่ของความคิด และวัตถุประสงค์
ก่อนจะอ้างว่าสิ่งใดจริงหรือเท็จ พระนางมารีย์ได้ทรงเตือนสติเราว่า ศรัทธาของเรานั้นเกิดจากความรัก
ความรักที่ไม่ได้มาจากการตีความอันมีเหตุผลจากตัวอักษรในหนังสือ
หากแต่มาจากชีวิตของมนุษย์เราเอง
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของแม่คนหนึ่ง ที่บุตรของนางถูกสังหารลงในอิรักเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
เพื่อบรรดาเด็ก ๆ ภรรยา และ สามี ซึ่งคอยการกลับมาของผู้อันเป็นที่รักด้วยความกลัว
และ ความหวัง ขอให้เรายอมให้พระนางมารีย์เป็นผู้เตือนใจเราถึง
ความรัก และพระเมตตาอันล้นพ้น และ ความชิดสนิทกับพระผู้เป็นเจ้าเถิด