แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก นักศาสนศาสตร์แบสติสทางใต้ นาม โมเลอร์ เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเช่นนั้น เขากลับมีทัศนคติที่ขัดแย้งกับการวิเคราะห์พระคัมภีร์ของกาเวนต้า

“ผู้ศึกษาพระคัมภีร์หลาย ๆ คน พยายามลดบทบาทของมารีย์ในพระคัมภีร์ลง ซึ่งมันต้องถูกแก้ไข” เขายอมรับ
“แต่เมื่อผมค้นคว้าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ผมว่าสาเหตุไม่ใช่เรื่องของการพยายามไม่สนใจ หรือ ทำเป็นไม่สนใจเธอ เราต้องไม่มองข้ามส่วนของเธอ แต่การสร้างบทบาทใหม่ให้เธอนั้นเป็นเรื่องเลยเถิด”

สิ่งที่เขารู้สึกไม่ชอบใจที่สุดคือ “การยกมารีย์เป็นพระฉายาลักษณ์ของของพระเจ้าในด้านความเป็นแม่ ซึ่งในบางมิตินั้นเกินเลยไปกว่าที่พระคัมภีร์ได้เขียนเอาไว้ เรื่องความรักของพระผู้เป็นเจ้านั้นแสดงอยู่ในพระคัมภีร์โดยไม่เห็นจำเป็นต้องให้มารีย์มาเป็นตัวสื่อ การพูดถึงความจำเป็นดังกล่าวของเธอในแง่ สัญลักษณ์ แทนที่จะเป็นในแง่ของ ข้อความเชื่อ” เขาหยุดคิด “นี่คือการปฏิรูปที่ย้อนกลับ สิ่งนี้ไม่มีพระคัมภีร์สนับสนุนเลย และมันจะนำไปสู่การนมัสการมารีย์มากเกินไป”

การตัดสินของโมเลอร์อาจจะดูรุนแรงขวานผ่าซาก แต่ประเด็นคำถามของเขาก็เป็นไปตามแบบอย่างปกติของชาวโปรแตสแตนท์ที่เคร่ง การเปลี่ยนแปลงจากการเคารพนับถือพระนางมารีย์กลายเป็นการเทิดทูนเคารพบูชาเกิดขึ้นจากการตีความตามเนื้อหาของนักเทววิทยาได้ง่ายกว่า ที่ผู้ศรัทธาจะทำในทางปฏิบัติ ตัวอย่างนี้เห็นได้จากชาวโปรแตสแตนท์ที่รักแม่พระ ที่ยืนยันว่าจะไม่ใช้พระนางในฐานะผู้ร้องวิงวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ยอมรับอย่างง่ายดายว่าได้กล่าว “โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป” จากบทวันทามารีอาออกมา ซึ่งอาจจะดูเป็นการขัดแย้งในตัวเอง ในทำนองเดียวกัน บรรดานักเรียนศิษยาภิบาลที่ตกแต่งผนังด้วยรูปไอคอนแม่พระ แต่ไม้กางเขนของพวกเขายังเป็นแบบที่ไม่มีรูปพระเยซู (กางเขนแบบโปรแตสแตนท์ทั่วไป) จะสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาให้ความสำคัญพระเยซูมาเป็นอันดับแรก และเมื่อบทบาทของพระนางในฐานะ “พระมารดาของพระเจ้า” ถูกเน้นหนักขึ้น มีทางง่ายๆบ้างไหมที่จะป้องกันสถานภาพของเธอจากฐานะของมนุษย์ที่นบนอบถ่อมตน ไม่ให้กลายเป็นฐานะกึ่งพระเจ้า