“ตอนนี้เรื่องพระนางมารีย์เหมาะสมหรือไม่อย่างไร ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในนิกายใหญ่ๆ”บราเทน กล่าว

“แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้จะเข้ามาก็เพราะสาเหตุของการไหลบ่าจำนวนมากของคนกลุ่ม สเปน และ ลาตินอเมริกา ที่เข้ามาในโปรแตสแตนท์”

ในความเป็นจริงแล้ว เฉพาะในอเมริกา ตอนนี้ก็มีกลุ่มชาวโปรแตสแตนท์ละตินร่วม 8 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวแมกซิกัน ประเทศซึ่งมีแม่พระแห่งกัวดาลูป ในฐานะป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ พอๆกับ สัญลักษณ์ทางศาสนา และเป็นครอบครัวคาทอลิคกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ


“เรื่องของพระนางมารีย์เป็นเสมือนวัฒนธรรมหลักอย่างหนึ่งไปแล้ว” ศาสนจารย์โปรแตสแตนท์ โจเซ่ เลนดาวาร์เด แห่ง คริสตจักร เอล อามอร์ เดอ ดิออส กล่าว “ในสภาพแวดล้อมของเพื่อนบ้านและหลอมรวมผู้คนเหล่าเข้าด้วยกัน นี่จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมี พระมารดาทรงสร้าง “ความหวัง” ให้พวกเขา” และ คริสตจักรก็ฟื้นตัวขึ้นมาเหมือนลาซารัสที่ฟื้นคืนชีพจากสมาชิกไม่กี่สิบ กลายเป็นหลายพันทันทีที่เขาเพิ่มบทบาทพระแม่มารีย์เข้าไป

เอนริเก้ กอนซาเลส ศาสนจารย์ของ คริสตจักร เอล เมซิอัส ยูไนเต็ด เมโทดิสต์ ในเขต เอลจิน ได้เขียนผลงานหนึ่งชื่อว่า “เรื่องของคริสเตียนศตวรรษนี้กับพระนางมารีย์” (Christian's Century's Mary Story) ซึ่งเนื้อหากล่าวว่า ชาวลาตินโปรแตสแตนท์ระวัดระวังเกี่ยวกับความเชื่อดังกล่าวเป็นพิเศษ เพราะว่า“พระกิตติคุณข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ถูกประกาศต่อคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกในลาตินอเมริกา เพียงเฉพาะ คำสอนเรื่องพระนางมารีย์อย่างเดียว”

แต่กระนั้นก็ดี เท็ด แคมป์เบล ผู้เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนสอนพระคัมภีร์นิกายเมโทรดิส ใน เอวานสโตน อิลีนอยส์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า “นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับโบสถ์โปรแตสแตนท์หลายต่อหลายแห่ง” ตอนที่เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่ เอล อามอร์ เดอ ดิออส เขาได้แต่อุทานว่ามันช่างวิเศษเสียนี่กระไร

“สิ่งนี้เพิ่มความน่าสนใจให้กับประเด็นทางเทววิทยามากขึ้น” แคมป์เบล อธิบาย “เรื่องนี้ทำให้เราได้มีโอกาสหันกลับไปมองที่ข้อคำสอนของเราแล้วตั้งคำถาม ว่า “จริงๆแล้วเรากำลังสอนอะไรกัน?”

มุมมอง และคำถามเหล่านั้นคงจะผุดขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ยินกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อบรรดาโปรแตสแตนท์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง หันกลับมาฟื้นฟู เรื่องพระนางมารีย์ ไม่ใช่เพียงแค่คิดถึงพระนางแค่ตอน คริสต์มาส หรือ อีสเตอร์ แต่เป็นตลอดทั้งปี