วิทยาศาสตร์ในพระคัมภีร์

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ แต่เนื้อหาที่พูดกลับเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ในตัวเอง คือ ไม่มีที่ผิด ยกตัวอย่างเช่นตอนอิสยาห์กล่าวว่าความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนทะเลจะมายังอิสราเอล ทะลตาย( Dead Sea ) มีแร่ธาตุ 25% เป็นโปแตสเซียม ธาตุที่เหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเทียบปัจจุบันมีค่ามากกว่า 5 ล้านล้านทีเดียวในพื้นที่เช่นนั้น ชนชาติอิสราเอลเอาความรู้จากที่ไหนมาจึงรู้เรื่องนี้ได้ บรรพบุรุษพวกเขารู้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลตายได้อย่างไร เป็นที่แน่นอนว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ไขแสดงความจริงนี้ให้ประจักษ์ต่อพวกเขา

เหมือนตอนที่พระเจ้าตรัสว่า เรื่องสถานที่ซึ่งแสงและความมืดอยู่ เรารู้ว่าเราสามารถเก็บความมืดได้ เช่นเก็บความมืดไว้ในกล่องที่ปิด หมายความว่าความมืดมีที่อยู่ได้ แต่แสงนั้นตรงกันข้ามที่เป็นสิ่งที่เคลื่อนที่อยู่เสมอ เหมือนอย่างโปตอนที่เป็นส่วนย่อยของแสงต้องอยู่ในสภาพเคลื่อนที่ตลอดเวลามิฉะนั้นจะไม่เป็นแสง ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถเก็บแสงไว้ในที่หนึ่งได้ เพราะแสงไม่อยู่นิ่ง แสงจะเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปอีกที่หรือมีรูปแบบทางการเคลื่อนไหว อย่างที่ถูกกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ โยบได้พูดถึงแสงที่ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์ทุกประการ ดังนั้นโยบรู้ได้อย่างไรตั้งแต่กว่า 3000 ปีมาแล้ว ถ้าไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า อีกตอนหนึ่งของพระคัมภีร์มีการพูดถึงเรื่องการเดินทางของนกในอากาศ และ ปลาในท้องทะเล ที่สอดคล้องกับกระแสลมและน้ำ โดยที่คนยุคนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องกระแสน้ำ กระแสลมเลย หรือตอนที่ประกาศกอาโมสพูดถึงการนำน้ำทะเลมาหยดลงบนผืนดิน เขารู้เกี่ยวกับระบบการหมุนเวียนของน้ำ จากทะเล เป็นเมฆ เป็นฝน ได้อย่างไร

ส่วนในบทของโยบบทอื่นๆมีประโยคหนึ่งพูดถึง “ เมื่อดาวอรุณร้องเพลงขับขานร่วมกัน ” ดูๆไปเหมือนเป็นประโยคปกติธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเมื่อเราทราบว่าดวงดาราเปล่งแสงที่เป็นสัญญาณเสียงออกมาได้ ดังนั้นหมายความว่าเราสามารถฟังเสียงของแสงได้ Ma Bell เป็นคนหนึ่งที่ได้ทดลองปรากฏการณ์นี้ ใน “ ท่อแสง ” ที่สามารถตรวจจับข้อมูลทั้งหมดของแสงได้ ดาวพวกนี้มีเสียงมีจังหวะของมัน และ ดาวแต่ละดวงมีจังหวะที่ต่างกันออกไป แล้วโยบรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรตั้งแต่สมัยนั้น หรือจากโมเสสเรารู้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์จากฝุ่นดิน เมื่อเราตวจสอบพวกหินดินที่ดวงจันทร์ และ ส่วนประกอบอื่นๆ เราพบส่วนประกอบ 16 ชนิดที่พบได้ในมนุษย์ทุกคน ทำไมมนุษย์ถึงมีองค์ประกอบแร่ธาตุในร่างเหมือนในฝุ่นผงดินละ

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถเข้าใจหรืออธิบายได้หมด เช่นเรื่อง แม่เหล็ก นักวิทยาศาสตร์รู้ระบบการทำงานของพลังงานแม่เหล็กในการดูดวัตถุที่เป็นเหล็ก แต่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าทำไมถึงดูดเหล็กไม่ใช่อลูมิเนียม และ ทำไมมันถึงทำงานเช่นนั้น เรื่องแรงดึงดูด เรื่องระบบชีวิต ทำไมชีวิตจึงกำเนิดขึ้นมาได้ เรื่องแสง เรื่องพลังงานไฟฟ้า และอีกหลายๆอย่างที่วิทยาศาสตร์อาจสามารถอธิบายคุณลักษณะการทำงานของมันได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจแก่นของมันจริงๆ หรือ แม้แต่ให้ความหมายจริงๆของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งบางทีคงมีแต่พระเจ้าที่รู้จริงถึงพลังงานเหล่านั้นและใช้มันตามพระประสงค์ของพระองค์ได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าพระเยซูมีบทบาทอะไรกับพลังงานเหล่านี้บ้าง

ระบบแรงดึงดูด : พระเยซูดำเนินบนน้ำได้ หรืออีกนัยพระองค์ควบคุมระบบแรงดึงดูด และ นักบุญเปโตรก็เช่นกันที่เดินได้เมื่อพระองค์อนุญาต

ระบบพลังงานแม่เหล็ก : พระดำรัสของพระองค์เป็นดังพลังงานแม่เหล็กดึงดูดผู้คนมากว่า 2000 ปี เป็นพลังงานแม่เหล็กที่ดึงดูดคนและเปลี่ยนชีวิตผู้คน

ระบบพลังงานโมเลกุล : พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น พระองค์ควบคุมการจัดการเรียงตัวของโมเลกุลใหม่ได้

ระบบพลังงานชีวิต : พระเยซูทรงชุบลาซารัสให้เป็นขึ้นมาจากความตายได้ พระองค์รักษาโรคและอาการบาดเจ็บทุกชนิดได้ หรือ อีกนับพระองค์ควบคุมชีวิตได้

ระบบพลังงานไฟฟ้า : จากข้อความในพระคัมภีร์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาปานสายฟ้าแลบจากตะวันออกสู่ตะวันตก

ระบบพลังงานแสง : พระคัมภีร์ว่าไว้ว่าพระเยซูคือความสว่างของโลก พระองค์ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ และ เป็นองค์ปฐมของความดีงามทั้งหมด และเป็นองค์ผู้ควบคุมพลังงานทั้งหมด

ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์กล่าวไว้ว่า พลังงาน มีค่าเท่ากับ มวล x ความเร็วของแสง สแควร์ ได้ออกมาเป็นสูตร

E = mc2 ถ้าเอาพลังงานมาหารด้วยความเร็วของแสงจะสามารถแปรพลังงานเป็นสสารได้

ในพระคัมภีร์ว่าไว้ว่าพระเจ้าคือปฐมของพลังงานและทุกสรรพสิ่ง ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์ความสว่าง ( พลังงานแสง ) ดังนั้น พระเจ้าหารด้วยพระเยซู จะสร้างได้ทุกอย่างตามสมการไอสไตน์ และเหมือนที่กล่าวในพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและควบคุมทุกสรรพสิ่ง

“ ในปฐมกาล พระเจ้าทรงดำรงอยู่ ”

ในปฐมกาล พระเจ้าทรงตรัส แล้วทุกสิ่งก็บังเกิดขึ้นมา พระดำรัสของพระเจ้าคือพลังงานในการสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกมีอายุเป็นล้านล้านปีมาแล้ว และ มนุษย์อยู่บนโลกมาเป็นล้านปีแล้ว แต่หลายๆคนเชื่อเรื่องในหนังสือปฐมกาลว่าพระเจ้าทรงสร้างโลก ขึ้นมา และ ทั้งหมดเกิดขึ้นในอดีตที่ไม่ห่างมากเกินไปขนาดนั้น ความเชื่อแบ่งเป็น 2 ฝ่าย และมีประเด็นโต้เถียงเรื่องนี้มานานในหมู่นักวิชาการ ถ้าเราตีความเนื้อหาทั้งหมดในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตามตัวอักษรเป๊ะๆ เราคงไม่พบความเกี่ยวเนื่องสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์แน่ เหมือนการเปรียบเทียบเรื่องอูฐลอดรูเข็มของพระเยซู หากตีความตามตัวอักษรเป๊ะๆคงกลายเป็นเรื่องอัศจรรย์แน่ ดังนั้นการตีความถอดเนื้อหาจากพระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเรื่องของศิลป์ หรือ วิทยาศาสตร์ แต่เป็นส่วนผสมของทั้ง 2 รวมกัน ซึ่งไม่มีกฎแน่นอนตายตัวในการถอดความพระคัมภีร์ที่สามารถใช้ได้ทุกบทหรือทุกสถานการณ์ การที่จะเข้าใจเนื้อหาเหล่านั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอุปมาอุปมัย การอ้างอิง บริบท และเหนือสิ่งอื่นใด พระพรปัญญาที่มาจากพระจิตเจ้า