Q คริสต์ศาสนามีการกล่าวถึงสถานะของ "สตรีศักดิสิทธ์" อย่างไร และพระศาสนจักรพยายามลดบทบาทของสตรีลงจริงหรือ?

A เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง คริสตศาสนาทุกนิกาย ทั้งโปรแตสแตนท์ ออโธดอกซ์ และโรมันคาทอลิค ล้วนให้ความสำคัญในแง่ของสตรีศักดิสิทธ์ในมุมมองที่ต่างกัน สตรีศักดิสิทธ์ในแง่มุมของโรมันคาทอลิคและออโธดอกซ์คือบรรดานักบุญหญิงทั้งหลาย และโดยเฉพาะคนที่โดดเด่นเห็นชัดที่สุดคือพระแม่มารีย์พระมารดาของพระเยซูเจ้า ซึ่งทั้ง 2 นิกายนี้ให้ความสำคัญกับพระแม่มารีย์ อย่างสูงส่งรองจากพระเป็นเจ้า หรือแม้กระทั่ง มารีย์ มักดาเลนา ที่แดนบราวน์กล่าวถึงก็ยังได้รับการแต่งตั้งจากพระศาสนจักรให้เป็นนักบุญ(ผู้ที่ดำเนินชีวิตได้ศักดิสิทธ์ สมควรได้รับเกียรติและการเคารพยกย่อง) ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยกับความคิดที่ว่า"พระศาสนจักรพยายามลดบทบาทของสตรีศักดิสิทธ์"

ซึ่งการให้เกียรติพระแม่มารีย์อย่างสูงส่งเช่นนี้ทำให้โปรแตสแตนท์บางกลุ่มหรือบางคน"มองว่ามากเกินไป"ด้วยซ้ำ ส่วนในเชิงมุมมองของโปรแตสแตนท์มองว่าสตรีใดๆหรือบุคคลใดๆในพระคัมภีร์ที่ดำเนินชีวิตที่ดีนั้นก็สมควรเอาเป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิตคริสตชนแม้จะไม่ได้ให้ความสำคัญในแง่ความศักดิ์สิทธิ์และความเคารพแบบคาทอลิคและออธโธดอค แต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันว่าคริสตศาสนาทุกนิกายก็ยังคงให้ความสำคัญกับสตรีศักดิสิทธ์อยู่ตลอดมา ไม่ได้มีการลดบทบาทแต่อย่างใด

ภาพICONแบบโบราณ รูป พระแม่มารีย์และพระกุมารเยซูในแบบออธโธดอค

 

Q จักรพรรดิ์คอนสเตนท์ตินได้ตัดเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่ระบุถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้าเช่นการแต่งงานออกไปเพื่อให้คงเหลือใว้แต่ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเพราะอิทธิพลของศาสนาเดิมที่ตนนับถือจริงหรือ?

A ไม่เป็นความจริง.. ตรงกันข้ามการตัดความเป็นมนุษย์ของพระเยซูออก กลับผิดหลักความเชื่อถูกต้องตามความเชื่อจริงๆของ ศริสต์ศาสนาทุกนิกาย ที่ต่างก็สอนเหมือนกันว่า"พระเยซูเจ้าเป็น มนุษย์แท้ และเป็น พระเจ้าแท้ " ต้องเป็นครบทั้งสองอย่าง ไม่ใช่เป็นพระเจ้าอย่างเดียวแบบที่นิยายอ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อและความรู้จากศาสนาเดิมคือเทพกรีก-โรมันของคอนสเตนท์ตินสมัยนั้น เทพเจ้าที่แต่งงานมีภรรยาหลายคนต่างหากที่แสดงถึงความเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง(สามารถอ่านรายละเอียดได้ในหัวข้อ "เทพ และการแต่งงาน") ดังนั้นถ้าคอนสเตนตินต้องการจะตัดอะไรออก สิ่งที่น่าตัดมากกว่า ก็คือความรู้สึกที่เป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า เช่นการหิว การเจ็บ และการเศร้า การเหนื่อย การถูกฆ่าสิ้นพระชนม์ ความรู้สึกเหล่านี้เองที่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นมนุษย์ด้วย และสิ่งเหล่านี้กลับมีเหลือไว้เต็มไปหมดในไบเบิ้ล


ดังนั้นแนวคิดที่ว่า ''ตัดความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้าออก เพื่อให้เหลือแต่ความเป็นพระเจ้า" นั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องทำเลย และถ้าทำก็จะผิดหลักข้อเชื่อของคริสตศาสนาเสียเองด้วย

เพราะมีลัทธิที่พระศาสนจักรไม่ยอมรับในช่วงศตรววษที่3-4เช่นกัน คือลัทธิที่ชื่อว่า "โมโนฟิไซส์(Moniphysiets)" ซึ่งลัทธินี้เป็นลัทธิหนึ่ง ที่แนวคิดนอสติกเข้าไปปะปนด้วย โดยเชื่อว่า ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูกลืนความเป็นมนุษย์ของพระองค์ไปหมดแล้ว พระเยซูจึงเป็นพระเจ้าเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าพระศาสนจักรไม่ยอมรับแนวคิดนี้เลย และจัดเป็นคำสอนที่ผิด(แต่สมัยปัจจุบัน นิยายกลับบิดเบือนว่าเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรสอน)

ดังนั้นการตัดสภาวะของมนุษย์ในพระเยซูเจ้าออกไปเพื่อให้เหลือใว้แต่ความเป็นพระเจ้านั้นจึงไม่ใช่หลักการและไม่ใช่ความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่เชื่อถือกันมาตลอด 2000 ปี แต่อย่างใด

รูปของพระเยซูเจ้าที่มักทรงชูพระหัตถ์ขึ้น2นิ้วอันเป็นระหัสธรรมที่สื่อว่าทรงมี2ธรรมชาติคือเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า

อ้างอิง

* 2000ปี แห่งการประกาศพระวรสาร, โรเบริ์ต กอสเต, M.E.P.

* L. Munch, J. Montjuvin : Panorama of Church History, Paris France 1964