หญิงเอ๋ยจงดูบุตรของท่านเถิด
โดย:โปรดปราน ( พีพี )

สุภาษิตอาหรับกล่าวว่า “การให้การศึกษาแก่บุรุษคือ การให้การศึกษาแก่คนเพียงคนเดียว แต่การให้การศึกษาแก่สตรีคือการให้การศึกษาแก่คนทั้งครอบครัว” ผู้เขี ยนขอเติมว่า “พระบุตรให้การศึกษาแก่แม่พระ เป็นการให้การศึกษาคนทั้งโลก” เชื่อว่า พี่น้องคริสตังคงซาบซึ้งเรื่องแม่พระกว่า คริสเตียน

“หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด"และ “จงดูมารดาของท่านเถิด” (ยอห์น ๑๙.๒๖,๒๗) พระวาทะนี้พระเยซูคริสต์ตรัสจากกางเขนกับพระมารดา และอัครสาวก ซึ่ง นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนเห็นว่าแท้จริงแล้ว พระเยซูเจ้าไม่ได้ฝากให้สาวก ดูแลพระมารดาแทนพระองค์ ในทางกลับกัน พระเยซูคริสต์ทรงมอบพันธกิจ หรือฝาก พระมารดามารีย์ ให้ทำหน้าที่แทนพระองค์ โดยการ ดูแล อบรมสั่งสอนแนะนำศิษย์รัก ตามที่แม่พระได้เรียนรู้จากพระบุตรตั้งแต่ วินาทีแรกที่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลก ฝ่ายบรรดาสาวกนั้น พระเยซูเจ้า ทรงยืนยัน และปลอบใจ พวกเขาที่กำลังเสียใจหรือท้อใจกับการจากไปของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงไว้วางพระทัย ในตัว พระมารดามารีย์ว่า สามารถทำพันธกิจแทนพระองค์ ได้ เพราะพระนางคือ สาวกคนแรก แม่พระสามารถเป็นผู้นำ แม่พระเรียนรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้า ก่อนที่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ด้วยซ้ำ นั่นคือตอนที่ทูตสวรรค์กาเบียลแจ้งข่าวเธอเชื่อ และยอมจำนนให้พระเจ้าใช้ครรภ์บริสุทธิ์ของนาง ในแผนการทรงไถ่


ภายหลังเมื่อพระกุมารเยซู ประสูติแล้ว แม่พระได้เรียนรู้จากพระเยซูเจ้า ผ่านกระบวนการเลี้ยงดูฟูมฟัก การอยู่เคียงข้าง สนับสนุนพระบุตรสุดที่รักตลอด สามสิบสามปี แน่นอนเหลือเกิน แม่พระทรงเห็นการอัศจรรย์ พระดำรัสสอน มากมายที่บุตรชายของนางได้สำแดง ตามที่ นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียน ได้ชี้ประเด็นว่า แม่พระไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอ พระนางเป็นสตรีที่กล้าหาญ กล้าเผชิญความจริง เรื่องพระบุตร เพราะ ความจริงนั้น พระมารดามารีย์ทราบตั้งแต่ต้น ว่าลูกชายของนาง จะต้องทนทุกข์ ต้องให้ชีวิต แก่ ชาวอิสราเอล และชาวโลก ดังนั้นแม่พระทรงเหมาะสมที่จะเป็น “เสาหลัก” ดูแลเหล่าสาวก หรือผู้ติดตาม แทนพระเยซูคริสต์ เพราะพระมารดามารีย์ ทรงพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าพระนางเป็นสตรีแข็งแกร่ง ทรงผ่านช่วงเวลาทุกข์ยาก เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ รับสารจากทูตสวรรค์กาเบรียล แม่พระผ่านความทุกข์ ขมขื่น เดียวดาย ความเจ็บปวดที่ลูกชายสุดที่รักของนางได้รับมาตลอด จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลากำหนด ของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เจ้าองค์บริสุทธิ์ ถูกพิพากษา โดยเพื่อนร่วมชาติ ตัดสินประหาร ก่อนถูกประหารนั้นสิบสองชั่วโมงสุดท้าย ที่พระบุตรเจ็บปวด พระมารดายิ่งรวดเร้าใจแทบขาด เธอจึงเคียงข้างพระบุตรในพระมหาทรมานครั้งนี้ด้วย ความรักและเต็มใจยิ่ง

ฉันพบแม่พระ: คำถามของบาทหลวงชาวฟิลิปปินส์ ที่ว่า “คริสตจักรโปรเตสแตนต์ของไทย มีที่ให้แม่พระไหม” นับว่าเป็นคำถามที่ช่วยกระตุ้นความคิดของฉัน(อ่านเพิ่มเติมได้จาก แม่พระในมุมมองนักศาสนศาตร์สตรีคริสเตียน) แต่ฉันไม่ได้แสวงหาอย่างจริงจัง พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีเสมอ เมื่อปี ต้นปี 2002 หน่วยงานได้ส่งฉันไปอบรม วิชา สตรีศาสนศาสตร์ ( Womanist Theology ) และ ศาสนศาสตร์ แห่งการปลดปล่อย ( Liberation Theology )ที่ ชิคาโก สหรัฐอเมริกา อัศจรรย์เกิดขึ้น คือสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนจบครอสที่เรียน มีสองคืนติดกันที่ฉันมีประสบการณ์ กับแม่พระ คืนแรก ฉันฝันใกล้สว่าง ในฝันฉันเห็นพบกับพี่คาทอลิกคนหนึ่งมารับฉันที่สนามบินดอนเมือง พี่ยิ้มให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ พร้อมทั้งยื่นมาลัยมือให้ ...ภาพต่อมาฉันเห็นแม่พระแล้วพระนางยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนหวาน แม่พระสวยมาก เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผิวขาวแบบสาวตะวันออกกลาง ฉลองพระองค์สีขาว ขลิบน้ำเงิน เมื่อมองพระพักตร์พระนาง ได้เห็นรอยยิ้มแล้วฉันก็ตื่น ....คืนต่อมาเช้ามืด ฉันตื่นนอนแล้วตะโกนว่า “ขอบคุณพระมารดามารีย์” แปลกใจกับเสียงตัวเองเพราะตลอดชีวิตฉันไม่เคยกล่าวคำนี้ ฉันนั่งทบทวนว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ตามความจำนั้นคือในระหว่างที่นอนหลับรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆที่แม่มาดูแลที่ห้องนอน แม่นั่งลูบผม นั่งเฝ้าดูขณะที่หลับ ดังนั้นจึงเข้าใจว่าทำไมตัวเองจึงตะโกนวลีว่า “ขอบคุณพระมารดามารีย์”.......เรื่องความฝันที่อัศจรรย์แบบนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้รับ ดังนั้นฉันคิดว่าเป็นสาส์นที่มาจากพระเป็นเจ้า .

ฉันเป็น “คาริสเมติก ( Charismatic ) ” คริสเตียน ซึ่งได้รับของประทานนี้กว่าสิบปีแล้วตอนที่เรียนที่ ประเทศออสเตรเลีย ระบบการศึกษาของสถาบันที่ชิคาโก้ นักศึกษาต่างชาติที่เรียนในเซมินารีที่นั่นเขาจัดให้มี พ่อ หรือ แม่วิญญาณรักษ์ ฉันเลือกแม่วิญญาณรักษ์ โดยมีเงื่อนไข ๑.ต้องเป็นคาริสเมติก ๒. เป็นคนไม่พูดมาก ๓.เป็นลูเธอร์แรน ขอบคุณพระเจ้าที่จัดเตรียมแม่วิญญาณรักษ์ที่น่ารักมาก และเป็นผู้ฟังที่ดีในการพบแต่ละครั้ง ....เมื่อฉันสัมผัสสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ ก็รีบโทรนัด แม่วิญญาณรักษ์มาฟังคำปรึกษา เมื่อเจอกัน ฉันเล่าให้แม่วิญญาณรักษ์ฟัง ท่านถามว่า “ลูกเชื่อแม่พระไหม และ คริสเตียน กับ คริสตังในไทยมีปัญหากันไหม” คำตอบของฉันคือ “เรื่องแม่พระ ลูก ไม่มีประการณ์มากกว่า ส่วนเรื่องของสองนิกายดูเหมือนต่างฝ่ายไม่ได้สนใจกัน ต่างคนต่างอยู่มากกว่า” แม่วิญญาณรักษ์บอกว่า “แม่เชื่อว่า แม่พระประสงค์ ที่จะสำแดงพระองค์ว่า เรื่องแม่พระเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องนิกาย ทรงประสงค์ให้มีการคืนดีกัน เพราะมาลัยมือนั้นเป็นสัญลักษณ์ของวงกลมที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือ พระกายของพระคริสต์ต้องไม่แยกกัน” ท่านบอกฉันต่อว่า “แม่เป็นลูเธอร์แรนที่วิงวอนผ่านแม่พระนะ ลูกไม่ลองดูล่ะ”

พอปิดครอสเรียนฉันไปเยี่ยมเพื่อนที่เมือง เซนต์หลุยส์ มลรัฐ มิสซูรี่ ได้ เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนไปเล่าต่อให้เจ้าของบ้านที่เธอเช่าซึ่งเป็นคาริสเมติกคาทอลิก สามีภรรยาคู่นี้ตื่นเต้น เชิญฉันไปที่บ้านและขอให้ฉันเล่า ความฝันเกี่ยวกับแม่พระให้ฟัง คนที่เป็นภรรยา นั่งหลับตาฟัง พอเล่าจบ เธอ ลุกขึ้นมากอด ยื่นสายประคำประจำตัวเธอให้ แล้วทำนายความฝันนั้น เนื้อหา เหมือนที่แม่วิญญาณรักษ์ ที่ ชิคาโก้ได้บอกฉัน ....