บรรดานักบุญและบรรดาเทวดา

ให้เรามาฟังดูว่าบรรดานักบุญท่านว่าอย่างไรบ้างเกี่ยวกับบรรดาเทวดา

นักบุญแบร์นาโด (1090-1153) ในพระวินัยที่เตือนใจพวกฤาษีของท่านเวลาทำวัตรให้สำนึกว่าตนอยู่ต่อหน้าพระเจ้ากับบรรดาเทวดา มีตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “ ชาวเราอุทิศตนและสำนึกถึงบรรดาอารักขเทวดาที่ประเสริฐเหล่านี้ ให้เรารู้จักตอบสนองความรักของท่านและให้เกียรติท่านเท่าที่เราสามารถจะทำได้ราวกับว่า เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำ … เราเป็นเสมือนน้องๆของท่าน เรายังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องวิ่งซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย แต่ก็ไม่ต้องกลัวอะไรเพราะเราอยู่ภายใต้ความคุ้มครองที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เมื่อมีพวกท่านนำเราในการเดินทางก็จะไม่มีใครสามารถหลอกเราได้ ท่านเองก็ยิ่งจะไม่มีวันที่จะหลอกเราด้วย พวกท่านซื่อสัตย์ รอบคอบและทรงพลัง ทำไมเราจะต้องตกใจกลัวเล่า เพียงแต่ติดตามและเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกท่านเท่านั้นก็เป็นการเพียงพอแล้ว เพราะเราจะอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ” ( บทเทศน์ที่ 12)

บุญราศีอันเจลา ดา ฟอลีโญ (1250-1309) เป็นสตรีที่มีความสวยงามมาก เป็นคนมั่งมีที่อยู่ในตระกูลสูง มีสามีที่ดีเป็นครอบครัวที่น่ารักพร้อมกับลูกๆที่น่ารักอีกเจ็ดคน หลังจากที่สามีและลูกๆตายไปหมดแล้วเธอซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้สี่สิบปีก็ได้มีความตั้งใจที่จะอุทิศตนแด่พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่ได้แจกข้าวของทั้งหมดของเธอแก่คนจนแล้ว เธอก็ได้ไปเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ศักดิ์สิทธิ์ เธอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ ได้เข้างานวิวาห์ฝ่ายจิตด้วยการเข้าฌานบ่อยครั้ง เธอเจริญชีวิตบำเพ็ญเป็นเวลาสิบสองปีโดยไม่ได้กินไม่ได้ดื่มอะไรเลยนอกจากการรับศีลมหาสนิทแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ในหนังสือของเธอที่มีชื่อว่า “ วิสัยทัศน์และแนะนำ ” ได้พูดถึงการเห็นเทวดาบ่อยครั้งเธอพูดว่า “ ถ้าหากว่าดิฉันไม่ได้ประสบด้วยตนเองก็จะไม่เชื่อว่า การเห็นเทวดาจะนำมาซึ่งความยินดีถึงขนาดนี้ ”

นักบุญแจร์ทรู๊ด (+1334) ได้เล่าว่าวันหนึ่งเธอได้รับการดลใจให้ถวายการรับศีลมหาสนิทเพื่อถวายเกียรติแด่เทวดาเก้าชั้น พระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้เห็นว่าพวกท่านมีความยินดีและขอบคุณที่ได้แสดงความรักนี้แด่พวกท่าน เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถให้ความยินดีเช่นนี้ให้แก่พวกท่านได้เลย

นักบุญโยน อ๊อฟ อาร์ค (1412-1431) วีรสตรีของฝรั่งเศส เมื่อถูกถามว่าเธอมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับบรรดาเทวดา เธอก็ได้ตอบว่า “ ดิฉันได้เห็นเทวดาท่ามกลางประชาชนหลายครั้ง ”

นักบุญฟรังซิสกา โรมานา (1384-1440) ได้รับพระพรพิเศษเธอได้เห็นอารักขเทวดาของเธออยู่ใกล้ตัวเธอเป็นเวลา 34 ปี เห็นทั้งกลางวันและกลางคืน เทวดาฉายแสงสวรรค์ส่องสว่างบ้านพักจนสามารถทำวัตรและทำงานบ้านได้ เธอเห็นเทวดาอยู่ทางด้านขวาของเธอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในบ้านหรืออยู่ในวัดหรือเดินทางอยู่ก็ตามและถ้าหากว่าเทวดาเห็นใครบางคนที่ทำอะไรไม่ดีก็จะใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าไว้ แสงสว่างจ้าจนไม่อาจมองตรงๆได้ยกเว้นเวลาสวดหรือเวลาที่ถูกปีศาจประจญหรือเมื่อพูดกับวิญญาณารักษ์เกี่ยวกับอารักขสวรรค์ของเธอ

ที่เธอเห็นนั้นเป็นรูปร่างของเด็กคนหนึ่งอายุยาวๆ 10 ขวบ สวมเสื้อขาวหรือเสื้อยาวจนถึงข้อเท้าปล่อยให้เห็นเท้าเปล่า หน้าเงยขึ้นมองฟ้า มือทั้งสองข้างประสานกันที่หน้าอก ผมสีทองยาวถึงบ่า

นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ (1506-1552) เขียนจดหมายถึงพี่น้องของท่านที่เมืองกัวร์ว่า “ ผมได้มอบความวางใจของผมไว้กับพระเยซูคริสตเจ้า กับพระแม่มารีและกับเทวดาทั้งเก้าชั้นซึ่งในท่ามกลางท่านเหล่านี้ผมได้เลือกเอาอัครเทวดามีคาแอลเป็นผู้อารักขาและเป็นเพื่อนร่วมทางของผมในพระศาสนจักรที่กำลังต่อสู้อยู่และผมก็ตั้งความหวังของผมไว้อย่างมากกับอัครเทวดาองค์นี้ว่า ท่านจะช่วยดูแลราชอาณาจักรญี่ปุ่นที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ทุกวันผมได้วิงวอนท่านพร้อมกับบรรดาเทวดาให้เฝ้าดูแลชาวญี่ปุ่นทุกคน ” ท่านมีความศรัทธาต่ออารักขเทวดาของท่านเป็นอย่างมากและเข้าหาเทวดาของท่านอยู่ตลอดเวลา

นักบุญเทเรซาแห่งพระเยซู (1515-1582) ได้เคยเห็นเทวดาหลายครั้ง เธอเล่าว่า “ ดิฉันได้เห็นเทวดาอยู่ใกล้ตัวดิฉันเป็นรูปร่างมนุษย์ซึ่งดิฉันมองดูด้วยความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง … ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก เป็นร่างเล็กๆสวยงามมาก ใบหน้าสุกใสและคงมาจากชั้นสูงมากพอสมควรชั้นที่ห่อหุ้มด้วยไฟ ชั้นที่เรียกกันว่าเครูบิม … ดิฉันเห็นพวกท่านถือศรทองในมือตรงปลายแหลมเป็นโลหะซึ่งดูเหมือนว่าจะมีไฟติดอยู่ด้วย และดิฉันมีความรู้สึกว่าไฟนั้นจะถูกตัวดิฉันและตัวดิฉันจะถูกดึงไปทั้งหมดจนทำให้ตัวดิฉันลุกเป็นไฟด้วยความรักต่อพระเป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง ” ( ชีวิต 29,13 )

นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ ( 1567-1622) ก่อนที่ท่านจะเทศน์ท่านจะสำรวจดูผู้ฟังของท่านแล้ววิงวอนอารักขเทวดาของพวกเขาให้ช่วยเตรียมจิตใจของพวกเขาให้พร้อมที่จะฟังสิ่งที่ท่านจะเทศน์สอนและหลังจากที่ได้ทำเช่นนั้นแล้วท่านจึงได้เทศน์อย่างมีประสิทธิภาพในการทำให้คนบาปกลับใจ

นักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก (1647-1690) เขียนในหนังสือชีวประวัติของตนว่า “ ดิฉันร้องหาบ่อยๆว่าอารักขเทวดาของดิฉันอยู่ที่ไหนและดิฉันก็ได้รับการตำหนิจากท่านบ่อยๆเช่นกัน … ท่านไม่อาจจะทนรับความหยาบคายหรือขาดความเคารพนับถือต่อการประทับอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันในศีลมหาสนิทได้แม้แต่เพียงนิดเดียวต่อหน้าศีลมหาสนิทดิฉันเห็นท่านกราบหมอบลงและท่านก็ต้องการให้ดิฉันกระทำเช่นเดียวกันนี้บ่อยๆ … ดิฉันเห็นว่าท่านพร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ดิฉันเมื่อดิฉันมีความจำเป็นและท่านก็ไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่ดิฉันขอจากท่านเลย … วันหนึ่งพระเยซูเจ้าตรัสกับดิฉันว่า ลูกที่รัก อย่าไปเป็นห่วงอะไรเลย เพราะเราต้องการที่จะให้อารักขะที่ซื่อสัตย์แก่ลูกและจะติดตามลูกไปทุกแห่งหนและจะให้ความช่วยเหลือแก่ลูกทุกครั้งที่ ลูกมีความจำเป็นทั้งภายในและภายนอกด้วยการขัดขวางไม่ให้ศัตรูของลูกฉวยโอกาสจากการที่ลูกไม่เชื่อท่านและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน … พระคุณประการนี้ดิฉันได้รับอย่างมากจนทำให้ดิฉันไม่กลัวอะไรอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะว่าอารักขเทวดาที่ซื่อสัตย์ของวิญญาณของดิฉันผู้นี้จะช่วยเหลือดิฉันด้วยความรักอย่างมากมายและจะช่วยให้ดิฉันรอดพ้นจากโทษทัณฑ์เหล่านี้ได้ … เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเยี่ยมดิฉัน ดิฉันไม่ได้เห็นอารักขเทวดาอีกต่อไปและเมื่อดิฉันทูลถามเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่าท่านได้กราบหมอบลงด้วยความเคารพอย่างสูงตลอดเวลา เพื่อถวายความคารวะต่อความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีขอบเขตขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงถ่อมองค์มาประทับอยู่ในความเล็กน้อยที่สุดของดิฉันและผลที่ตามมาคือดิฉันสังเกตเห็นเทวดาหมอบกราบลงทุกครั้งที่พระสวามีเจ้าทรงจุมพิตดิฉัน ” ( บันทึกความทรงจำแก่ ม . เซาเมสเซ )

บุญราศี อันนา กาตาลีนา เอมมาริก (1774-1824) กล่าวว่า “ เทวดาของดิฉันติดตามดิฉันบ่อยๆบางครั้งก็เดินไปข้างหน้าดิฉัน บางครั้งก็เดินเคียงข้างดิฉันแต่ว่าจะเงียบและสงบอยู่ตลอดเวลา เวลาตอบอะไรก็มักจะใช้มือทำท่าทางด้วยหรือไม่ก็ก้มศรีษะ ในตัวท่านจะมีความสว่างเจิดจ้าและบางครั้งก็น่ารักจริงๆ ผมของท่านเรียบเบา และสะท้อนแสง ศรีษะไม่สวมอะไรสวมชุดยาวส่องประกายราวกับทองคำ เมื่อดิฉันปรึกษาท่านก็จะได้รับคำแนะนำจากท่าน การที่มีท่านอยู่เคียงข้างทำให้ดิฉันมีความสุขอย่างกับอยู่ในสวรรค์ … บางครั้งบางคราวดิฉันก็ได้เห็นเทวดาอยู่เหนือเมืองหรือนครบางแห่งเพื่อจะได้ป้องกันหรือปกป้องเมืองหรือนครนั้นๆ ”

นักบุญมีคาแอลลา แห่งศีลมหาสนิท (1809-1865) เขียนในหนังสือ “ ชีวประวัติของตนเอง ” ว่า “ สำหรับตัวดิฉันแล้วการพึ่งพาอาศัยบรรดาเทวดานั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำกันทุกวัน เมื่อดิฉันต้องการที่จะเรียกใครดิฉันก็จะส่งเทวดาให้ไปเรียกและเขาก็มาหาจริงๆไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่ดิฉันรู้จักหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้าสายบ่ายเย็น ดิฉันมักจะเรียกเลขานุการของดิฉันที่อยู่ค่อนข้างไกลออกไปด้วยวิธีนี้ทั้งนั้น และเทวดาก็ทำหน้าที่ของท่านอย่างดีเสมอ ไม่เคยชักช้าและก็ไม่ต้องรอเป็นวันด้วย บางครั้งเมื่อมีเรื่องรีบด่วนที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อน ดิฉันจะเรียกบุคคลเดียวกันนั้นสองถึงสามครั้งต่อวันและเขาก็มาทุกครั้ง มีคนอยากจะรู้ว่าดิฉันทำได้อย่างไร ทุกคนที่มาหาดิฉันมักจะพูดแบบเดียวกันว่าพวกเขารู้สึกว่าอยู่ไม่เป็นสุข และทุกคนเมื่อมาพบดิฉันมักจะพูดกับดิฉันว่า ท่านเรียกดิฉันโดยผ่านทางเทวดาใช่ไหม เพราะว่าดิฉันจะมีความกระวนกระวายจนกว่าจะได้มาหาท่าน ดิฉันมักจะบอกกับทุกคนว่าให้ใช้เทวดาแบบเดียวกันกับที่ดิฉันใช้ ”

นักบุญอันตน มารีอา กลาเรต (1807-1870) เขียนในหนังสือ “ ชีวประวัติของตนเอง ” ว่าเมื่อวันที่ 21 กันยายน 1839 ท่านได้มาที่เมืองมาร์ซีเกลียเพื่อจะได้ลงเรือเดินทางต่อไปยังกรุงโรม “ เขาอยู่กับผมอย่างน่ารัก อย่างเรียบร้อยตลอดเวลาเดินทางห้าวันจนทำให้ผมเกิดความสนใจว่า อาจเป็นเจ้านายท่านใดท่านหนึ่งที่ส่งคนมาช่วยดูแลตัวผม ผมมีความรู้สึกว่าจะเป็นเทวดามากกว่าที่จะเป็นมนุษย์ทั้งนี้เพราะว่าเขาเป็นคนสุภาพ เป็นคนร่าเริงและบางครั้งบางคราวก็เงียบขรึมเป็น เป็นคนที่ศรัทธาเพราะมักจะชวนผมเข้าวัดอันเป็นสิ่งที่ผมชอบมากๆ เขาไม่เคยชวนผมเข้าร้านกาแฟหรืออะไรทำนองนั้นและผมก็ไม่เคยเห็นเขากินหรือดื่มอะไรเลย ” เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นอารักขเทวดาของท่านนักบุญ ท่านนักบุญองค์เดียวกันนี้ได้บอกเราว่าตลอดเวลาที่ท่านได้รับการเบียดเบียนจากศัตรูของท่าน ท่านได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากพระมารดาและจากบรรดาเทวดาและนักบุญทั้งหลาย “ พระมารดาและบรรดาเทวดาได้ร่วมเดินทางกับผมเพื่อช่วยเหลือผมให้พ้นจากเงื้อมมือของโจร จากผู้ปองร้ายและนำผมไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่ทราบว่ามันเป็นไปได้อย่างไรด้วย ” (31)

นักบุญกาทารีนา ลาบูเร (1806-1876) เธอเป็นผู้มีบุญที่ได้เห็นอารักขเทวดาของตนในรูปร่างของทารกที่มาหาเธอในคืนของวันที่ 18 กรกฎาคม 1830 เป็นเด็กที่น่ารักมาก สวมเสื้อขาวและพูดคุยด้วยเสียงสวรรค์ เขาบอกเธอว่า “ จงเข้าไปในโบสถ์เพื่อจะไปพบกับพระมารดามารี เราจะไปเป็นเพื่อนท่าน ” เธอก็รีบลุกขึ้นแต่งตัวและเดินตามเทวดาเข้าโบสถ์ เมื่อพวกเขาเดินไปตะเกียงก็ได้รับการจุดโดยอัตโนมัติประตูก็เปิดออกแบบเดียวกัน เมื่อมาถึงโบสถ์ก็สังเกตเห็นโบสถ์สว่างไสวและเมื่อแม่พระประจักษ์มาเธอก็หมอบลงและมีความยินดีแบบมาจากสวรรค์ สิ่งต่างๆที่พระแม่ได้ตรัสกับดิฉันนั้นมีสิ่งหนึ่งที่พระแม่ได้ตรัสพร้อมกับทรงชี้ไปที่ตู้ศีลว่าทุกครั้งที่มีปัญหาขอให้เข้ามาหาพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท

นักบุญยวง บอสโก (1815-1888) ท่านสอนเยาวชนของท่านว่า “ อารักขเทวดามีความสนใจมากในการที่จะให้ความช่วยเหลือแก่พวกเธอพอๆกับที่พวกเธอต้องการให้ท่านช่วย … ทุกครั้งที่ประสบกับเหตุร้ายก็จงร้องหาท่านแล้วท่านก็จะช่วยเหลือพวกเธอ ” ในหนังสือ “ ชีวประวัติของท่าน ” ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อเกี่ยวกับสุนัขตัวหนึ่งที่ได้เฝ้ารักษาท่านเป็นเวลากว่าสามสิบปีโดยที่ท่านไม่เคยเห็นมันกินอะไรเลย หน้าตาของมันเหมือนกับหมาป่ามีความสูงราวหนึ่งเมตร ท่านนักบุญเรียกมันว่ากรีจีโอ มันได้ช่วยท่านให้รอดพ้นจากความตายในสถานการณ์ต่างๆ ท่านคิดว่ามันเป็นอารักขเทวดาของท่านโดยยกตัวอย่างเช่น “ คืนหนึ่งที่มืดมิดมากและก็ดึกมากแล้วด้วย ขณะที่พ่อเดินทางกลับบ้านคนเดียวและมีความกลัวอยู่ไม่น้อย พ่อก็เห็นหมาใหญ่ตัวหนึ่งมาอยู่ใกล้ๆพ่อ เมื่อเห็นมันตอนแรก ทำให้พ่อกลัวมากแต่มันก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อพ่อแต่มันกลับทำตัวราวกับว่าพ่อเป็นเจ้าของของมัน ทันใดนั้นเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและมันก็ติดตามพ่อไปจนถึงวัด เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นอีกหลายครั้งจนทำให้พ่อรู้ได้ว่ากรีจีโอได้ให้การรับใช้ที่ดีแก่พ่อ … พ่อไม่เคยพบเจ้าของที่แท้จริงของมันเลย แต่ว่ามันเป็นพระญาณสอดส่องของพระที่แท้จริงที่มีต่อพ่อในเหตุร้ายหลายครั้งที่พ่อต้องเผชิญ ”