เทวดาของพระเป็นเจ้า
ชาวเราเจริญชีวิตอยู่ในโลกที่
ถูกบุกรุก จากศัตรูที่มองไม่เห็นจำนวนล้านๆที่จ้องจะทำลายเราทั้งในโลกนี้และในนิรันดรกาลนั่นคือพวกปีศาจ
ลองหลับตานึกดูถ้าสมมุติว่าโลกของเราถูกบุกรุกจากโลกภายนอกที่มีความเฉลียวฉลาดกว่าเรา
ที่มีพลังมากกว่าเราความพินาศก็คงจะต้องเกิดขึ้นแก่เราอย่างแน่นอน และนั่นแหละจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่เราจริงๆถ้าหากว่าเราไม่มีความช่วยเหลือจากพระเจ้า
จากบรรดานักบุญและบรรดาเทวดามาเป็นประกัน เป็นที่แน่นอนที่สุดที่มีผู้คนมากมายที่ไม่เชื่อว่ามีปิศาจ
มีสิ่งที่ชั่วร้าย มีศัตรูที่ร้ายกาจที่สามารถทำงานได้อย่างได้ผลทั้งในความมืดและในความเงียบ
สงคราม การสังหาร ความเกลียดชัง ความรุนแรงต่างก็เป็นผลงานของมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อิทธิพลอันร้ายกาจของมันแทรกซึมเข้าไปในทุกกิจกรรมของมนุษย์
แล้วเราได้ทำอะไรบ้างเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่มีพลังเช่นนี้
เราได้ป้องกันตัวของเราด้วยการภาวนาและด้วยอาวุธของพระเจ้า ( สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆฯลฯ
) บ้างหรือเปล่า ? เราต้องรับรู้ว่าเราไม่เคยอยู่ตามลำพังคนเดียว เรามีผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องเราอยู่ตลอดเวลานั่นคืออารักขเทวดา
อัศจรรย์ ด้านเทคนิคสมัยใหม่ไม่ได้ทำให้มันสูญหายไปแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นสาระสำคัญสำหรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อด้วย
แม้แต่พระเป็นเจ้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรให้แก่ผู้ที่สมัครใจมอบตัวให้แก่ศัตรูและมอบวิญญาณของตนแก่มันด้วยการทำบาปหนัก
ทั้งนี้เพราะว่าทรงมีความเคารพต่อเสรีภาพของเขา มีความตายและความทุกข์ทรมานมากมายที่เกิดจากความชั่วร้าย
และมีสันติสุขและความยินดีมากมายที่เกิดจากความเชื่อและคำภาวนา ให้เรามาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงบางตัวอย่าง
รถบัสคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังวัดนักบุญโยวันนี
โรตอนโด เพื่อไปหา ( นักบุญ ) คุณพ่อปีโอ ขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้นก็ได้เกิดพายุหนักฟ้าร้องฟ้าผ่าพวกนักแสวงบุญต่างก็ระลึกถึงคำแนะนำของคุณพ่อปีโอว่า
ให้ร้องหาอารักขเทวดาของตนเมื่อต้องเผชิญกับภยันตรายไม่ว่าชนิดใดทั้งสิ้น
วันรุ่งขึ้นคุณพ่อปีโอได้กล่าวแก่พวกเขาว่า เมื่อคืนนี้พ่อนอนไม่หลับทั้งคืนและได้ใช้เวลาสวดภาวนาเพื่อพวกเธอ
จงทำเช่นนี้เสมอไปแล้วพ่อก็จะช่วยพวกเธอแบบเดียวกันนี้อีก
นักบุญยวง
บอสโกพูดถึงเรื่องอารักขเทวดาให้พวกเด็กๆของท่านฟังเสมอ เด็กคนหนึ่งเป็นช่างก่อสร้างและหลังจากที่ได้ตกจากนั่งร้านกับอีกสองคนได้ไม่กี่วัน
คนหนึ่งได้สวดขออารักขเทวดาของตนก่อนเริ่มทำงานจึงไม่เป็นไร ส่วนอีกสองคนตาย
ความแตกต่างจึงเห็นได้อย่างชัดเจน
โลกคงสวยงามไม่ใช่น้อยถ้าหากว่ามนุษย์ทุกคนจะมีความเชื่อและความรักต่อพระเจ้า
ชีวิตของพวกเขาก็คงจะเจิดจ้า เหมือนกับดวงดารา
( ดนล . 12,3) ให้เราเปิดประตูหน้าต่างของวิญญาณเราเพื่อรับแสงสว่างของพระเจ้าด้วยการเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริง
บรรดาเทวดาจะช่วยเหลือเราเพราะพวกท่านเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนแสงของพระเจ้ารอบตัว
พวกท่านเป็นท่อธารของความรักและของแสงสว่างเหนือทุกสิ่งและเหนือมนุษย์
พวกท่านต้องการให้เรามีความสุข พวกท่านเป็นความยินดีของพระเจ้าบนโลกนี้และยิ้มให้แก่เราอย่างไม่รู้จักหยุดเมื่อเราอยู่ในสถานะพระหรรษทานและเชื่อฟังคำแนะนำของท่าน
ข้าพเจ้าฝันถึงโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความรัก
ณ ที่ซึ่งความสุขและสันติจะปกครอง โลกที่เต็มไปด้วยเทวดา ดอกไม้และดาวดารา
โลกที่ปราศจากความชั่วและผู้มุ่งร้าย โลกที่เต็มไปด้วยความสุข สิ่งเก่าๆหายลับไปแล้วโลกที่สมบูรณ์พูนสุข
สักวันหนึ่งจะเป็นจริงขึ้นมาในฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ณ ที่ซึ่ง
จะไม่มีความตาย ความทุกข์โศก การร้องไห้คร่ำครวญหรือความเจ็บปวดอีกต่อไป
( วว . 21,4) ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องต่อสู้ต่อไปเพื่อจะได้เอาชนะโลกเพื่อพระเจ้า
จงจำไว้ว่าอารักขเทวดาของเราเป็นความยินดีและรอยยิ้มของพระเจ้าที่อยู่รอบกายเรา
จงจำไว้ว่าท่านเป็นทุกอย่างสำหรับตัวเราและท่านมีพันธกิจในการที่จะทำให้เรามีความสุข
เมื่อไรเรามีความเศร้าก็จงคิดถึงความยินดีของพระเจ้าที่ร่วมเดินทางไปกับเรา
เมื่อเราปราศจากทิศทางและกำลังสับสนก็จงคิดถึงแสงสว่างของพระเจ้าที่ส่องสว่างเราและในทุกขณะจิตให้เราคิดว่า
มีเทวดาของพระเจ้าอยู่ใกล้ชิดเรา เป็นเพื่อนที่รักเราและยิ้มให้แก่เรา
ขอให้เทวดาแห่งการยิ้มแย้ม
แห่งความรัก แห่งความยินดี แห่งแสงสว่างและแห่งสันติภาพติดตามตัวท่านไปเสมอและขอท่านให้ความสุขของพระเจ้าให้แก่หัวใจของท่านด้วยเทอญ
อาแมน
ท่านได้ยิ้มให้แก่อารักขเทดาของท่าน
ให้แก่บรรดาเทวดาที่อยู่รอบข้างท่านบ้างไหม
?