พยานหลักฐานอื่นๆอีก

คุณ พ่อเอวเจนีโอ เปรวอสต์ (1860-1946) ได้เขียนไว้ว่า “ ในวันบวชเป็นพระสงฆ์ของผม ผมได้รำพึงอย่างมากถึงเรื่องที่คุณพ่ออายมาร์ดได้พูดเกี่ยวกับการบวชเป็นพระสงฆ์คือในวันนั้นอารักขเทวดาจะย้ายจากทางด้านขวาไปอยู่ทางด้านซ้ายเพื่อจะถวายที่แด่พระแม่มารี ความคิดอันนี้ได้เจาะเข้าไปในห้วงลึกของจิตใจของผมจนทำให้ผมมีความซาบซึ้งเป็นอย่างมาก บัดนี้ผมได้มีความมั่นใจว่าพระแม่มารีประทับอยู่ทางด้านขวาของพระสงฆ์ ”

“ ผมมีความรู้สึกจริงๆว่าพระแม่มารีประทับอยู่ทางด้านขวาของผมและผมมีความรู้สึกว่าผมได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระแม่มารีเวลาที่ผมได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ สิ่งที่ดึงดูดพระแม่มารีก็คือทันทีที่ได้รับศีลบวช พระสงฆ์จะถูกหลอมให้เข้ากับพระเยซูเจ้า พระแม่ทรงเห็นพระบุตรของพระแม่ในตัวพระสงฆ์ ” เพราะเหตุนี้พระแม่จึงตรัสได้ว่า ขอโมทนาพระคุณพระองค์ข้าแต่พระบิดา เพราะว่าศักดิ์ศรีของพระสงฆ์ใหญ่ยิ่งกว่าของบรรดาเทวดาเครูบิมและเซราฟิมเสียอีก

ในการประจักษ์มาที่กาลาบันดาล ที่อยู่ทางเหนือของประเทศสเปนระหว่างปี 1961-1965 วันหนึ่งพระแม่มารีตรัสกับเด็กทั้งสี่คนว่า “ ถ้าหากว่าพวกเธอไปพบพระสงฆ์องค์หนึ่งกำลังสนทนากับเทวดาอยู่พวกเธอจะสวัสดีใครก่อน ?” พวกเด็กตอบ ว่า เทวดา พระ แม่มารีตรัสว่า “ ไม่นะ ไม่ถูก ต้องสวัสดีพระสงฆ์ก่อนเพราะว่าท่านมีศักดิ์ศรีสูงกว่าเทวดา เพราะว่าพระสงฆ์ถวายบูชาได้ในขณะที่เทวดาทำเช่นนั้นไม่ได้ ” จากการประจักษ์มาหลายต่อหลายครั้งนั้น การประจักษ์วันที่ 18 ตุลาคม 1961 นับเป็นครั้งแรกที่ทรงทำให้พวกเขาเห็นอัครเทวดามีคาแอลในสภาพเป็นเด็กวัยเก้าขวบ ปัจจุบันเด็กๆพวกนี้ได้แต่งงานกันหมดแล้ว พวกเขาได้เริ่มสวดสายประคำทุกวันและได้วอนขออารักขเทวดาของพวกเขาทุกวันเช่นกัน พระแม่ยังได้บอกพวกเขาให้พลีกรรมมากๆพร้อมกับให้ไปเฝ้าศีลบ่อยๆด้วย (18 ตุลาคม 1961)

เอดวีเจ การ์บอนี ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองซาร์เดญา เสียชีวิตเมื่อปี 1952 มีบุญได้เห็นอารักขเทวดาของตนหลายครั้ง เธอเขียนลงในหนังสือสมุดบันทึกของเธอว่า “ คุณแม่ผู้น่าสงสารของดิฉันเคยให้ดิฉันออกไปซื้อของในตอนกลางคืนบ่อยๆ ดิฉันต้องเดินไปคนเดียวในความมืดและรู้สึกมีความวังเวงเป็นอย่างมาก … ขณะเดียวกันดิฉันได้เห็นอารักขเทวดาของดิฉันพูดกับดิฉันว่า อย่ากลัวเลยเพราะเราอยู่ด้วยกันสองคน เราจะเป็นเพื่อนให้เธอ เมื่อดิฉันเข้าไปในร้านเพื่อซื้อของที่ต้องการ ท่านก็รออยู่ข้างนอก เมื่อซื้อของเสร็จแล้วท่านก็เดินไปเป็นเพื่อนกับดิฉันอีกครั้งจนถึงประตูบ้าน แล้วท่านก็อันตรธานไป ”

เทวดามาเป็นเพื่อนกับ เทเรซา มูสโก (1943-1976) ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองกาแซร์ตา ในการสวดภาวนาประจำวันของเธอ เธอบันทึกไว้ในสมุดบันทึกของเธอว่า “ เทวดามาหาดิฉันทุกวันในตอนเช้าเพื่อเยี่ยมดิฉันและเพื่อชวนดิฉันให้สวดภาวนาพร้อมกับท่าน ” ตามที่เราอ่านพบในบทเพลงสดุดีที่ 138,1 ว่า “ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงต่อหน้าเทวดาถวายสดุดีแด่พระองค์ พระเจ้าข้า ”

แจอรเกตเต ฟาเนียล ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ชาวคานาดา ผู้ที่ปีแอร์ โจวาโนวิช ได้ไปเยี่ยมถึงที่บ้านของเธอที่เมืองมองเตรียลในปี 1994 ต่อหน้าคุณพ่อวิญญาณรักษ์ของเธอที่เป็นเยซูอิตที่มีชื่อว่าคุณพ่อกี จีรา ขณะนั้นเธอมีอายุได้ 76 ปีแล้ว เป็นบุคคลที่ยอมเป็นบูชายัญเพื่อคนบาปและเจริญชีวิตในพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้าทุกวันศุกร์ “ คุณเป็นชายาของพระคริสตเจ้าหรือ ?”

“ ความสนิทสัมพันธ์อันนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1953 เมื่อดิฉันได้เป็นชายาของพระองค์พร้อมกับขอแบกกางเขนของพระองค์เพื่อความรอดของวิญญาณ ”

“ คุณเป็นชายาของพระคริสตเจ้าและของพระบิดานิรันดรด้วยหรือ ? ”

“ ดิฉันเป็นชายาของพระตรีเอกภาพ ”

“ พิธีสมรสของคุณเกิดขึ้นได้อย่างไร คุณมีแหวนไหม ”

“ มีค่ะ แต่เป็นแหวนที่มองไม่เห็น ดิฉันสวมมันบนนิ้วนางของมือซ้าย พระแม่มารีก็ประทับอยู่ด้วยพร้อมกับชาวสวรรค์ทั้งหลาย ”

“ ชาวสวรรค์หรือ ?”

“ ใช่ค่ะ บรรดาเทวดา อัครเทวดาและทุกคนที่กราบนมัสการพระเป็นเจ้าและผู้ร่วมงานของพระองค์เพื่อช่วยให้กิจการงานของพระองค์เป็นจริงขึ้นมา ”

“ และเทวดาดูเป็นอย่างไร ?”

“ เป็นผู้ที่มีความเจิดจ้าอย่างเหลือเชื่อ … ดูเหมือนว่าพวกท่านกำลังกราบนมัสการพระเจ้าอยู่เพื่อจะได้ถวายการรับใช้พระองค์และเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวเรา อย่างเช่นบรรดาอารักขเทวดา ”

“ คุณเห็นอารักขเทวดาของคุณด้วยหรือ ?”

“ เห็นค่ะ ”

“ ท่านเป็นอย่างไร ?”

“ สวยงามมากค่ะ ( เจอรแจตตายิ้มราวกับเด็กสาวในหอพัก ) สวมอาภรณ์สีขาว แต่ความสวยงามของมนุษย์ไม่อาจที่จะเปรียบกับความสวยงามของท่านได้ ดิฉันไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนที่สวยงามอย่างนี้เลยค่ะ เวลาถวายบูชามิสซาดิฉันยังเห็นเทวดาองค์อื่นๆอีกด้วยพวกท่านยืนถวายนมัสการแล้วก็กราบลงต่อหน้าการประทับอยู่จริงของพระเป็นเจ้าบนพระแท่น ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนรวมทั้งพระสงฆ์บางองค์ด้วยจึงไม่ยอมเชื่อว่าอารักขเทวดาอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา ”

วาสสุลา ไรเดน เกิดเมื่อปี 1942 นับถือศาสนากรีก - ออร์โธ ด๊อกซ์ แม้ว่าคุณพ่อวิญญาณของเธอจะเป็นคาทอลิกก็ตาม เรามีโอกาสได้พูดคุยกับเธอที่เมืองลีมาและได้รับความประทับใจอย่างมากทีเดียว นับตั้งแต่ปี 1987 เป็นต้นมา เธอได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์และได้เดินทางไปหลายต่อหลายประเทศเพื่อจะได้เข้าร่วมประชุมเพื่อเผยแพร่สิ่งที่เธอได้รับจากพระเยซูเจ้า ซึ่งต่อมาได้มีการจัดพิมพ์เป็นหนังสือมีชื่อว่า “ ชีวิตแท้ในพระเจ้า ” เธอได้พูดว่านับเป็นเวลากว่าสามสิบปีที่เธอไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องพระเจ้าเลย จนวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 1985 ขณะที่เธออยู่ประเทศบังคลาเทศและกำลังนั่งเขียนรายการข้าวของที่จะต้องซื้อในวันนั้น ทันใดร่างกายของเธอมีความรู้สึกแปลกๆถึงการสั่นสะเทือนแบบเหนือธรรมชาติแล้วดูเหมือนว่าจะมีพลังจากเบื้องบนมาทำให้มือเธอเขียนลงว่า “ เราเป็นอารักขเทวดาของเธอและเรามีชื่อว่าดาเนียล ” ตลอดเวลาสามเดือนหลังจากนั้น ภายในใจของเธอก็ได้รับข่าวสารเรื่องราวมากมายจากอารักขเทวดาของเธอจนทำให้เธอเริ่มพูดถึงพระเยซูเจ้าอย่างต่อเนื่องตลอดมา

ปีแอร์ โจวาโนวิช ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เธอและได้ถามเธอว่า

“ อารักขเทวดาของคุณเป็นอย่างไร ?”

“ ดิฉันเห็นท่านเป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่งแต่มักจะสวมอะไรบางอย่างแบบเสื้อดาลมาติกาหรือเสื้อกัปปา ( อาภรณ์ของพระสงฆ์ ) อะไรทำนองนี้ มีผิวสีคล้ำ ผมยาวถึงบ่า เป็นเทวดาที่มีความอ่อนไหวมาก บางครั้งดิฉันเห็นเทวดาอีกองค์หนึ่งอยู่เคียงข้างท่าน มีขนาดพอๆกันคือราวๆสองเมตร สวมอาภรณ์ขาวส่องประกายพร้อมกับมีปีกสีขาวสองข้างเจิดจ้าเอามากๆ เป็นอัครเทวดามีคาแอลเอง วันหนึ่งอารักขเทวดาของดิฉันถามดิฉันว่า “ เธอรู้หรือไม่ว่าใครอยู่กับเธอในวันที่เธอเกิด ”

“ คุณแม่ของดิฉัน คุณหมอ …

“ และเราด้วย ”

มีครั้งหนึ่งดิฉันเห็นท่านกำลังภาวนาอยู่จึงได้ถามว่า “ ทำอะไรค่ะท่าน ?”

ท่านก็ตอบว่า “ สวด ”

“ สวดให้ใครคะ ?”

“ สวดให้เธอนั่นแหละ ”

คุณได้รับบทเรียนอะไรบ้างจากประสบการณ์กับเทวดา ?

“ ได้รับประสบการณ์ว่าจำเป็นที่เราจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่าน ไม่เฉพาะแต่หาที่จอดรถให้หรืออะไรทำนองนั้นเท่านั้น แต่จะต้องขอให้ท่านช่วยในทุกเรื่องด้วย พร้อมทั้งให้รู้จักขอบคุณท่านด้วย โดยส่วนตัวแล้วเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนที่มักจะสร้างความลำบากใจให้ ดิฉันก็มักจะส่งอารักขเทวดาของดิฉันไปเสวนากับอารักขเทวดาของผู้นั้นก่อน ท่านจะช่วยให้เอาชนะปัญหาและสถานการณ์ต่างๆมากมายได้ ท่านทำงานอยู่ตลอดเวลาค่ะ ”

กัดซูโกะ ซาซากาวา เกิดเมื่อปี 1931 เป็นนักบำเพ็ญพรตชาวญี่ปุ่น เป็นคนพุทธกลับใจ แม่พระได้ประจักษ์มาหาเธอหลายครั้ง ในปี 1973 สองเดือนหลังจากที่เธอได้เข้าอารามที่เมืองอากีตะ ขณะที่เธออยู่คนเดียวต่อหน้าศีลมหาสนิท ทันใดนั้นตู้ศีลก็เปิดออกพร้อมกับส่องแสงเจิดจ้าและในบางโอกาสเธอได้เห็นแสงที่ไม่อาจจะบรรยายได้ออกมาจากตู้ศีล ในโอกาสเหล่านี้เธอจะมีความยินดีและความสุขแบบที่ไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดได้ มีครั้งหนึ่งเธอเห็นเทวดามากมายเหลือคณะนับอยู่ต่อหน้าตู้ศีล กว้างใหญ่แบบที่ว่าจะพาเธอเข้าสู่นิรันดรกาล เธอเล่าว่า “ แสงที่ส่องออกจากแผ่นศีลนั้นเจิดจ้าจนดิฉันไม่อาจจะมองดูได้ดิฉันจึงได้หลับตาแล้วกราบลงจนถึงพื้น ”

วันที่ 29 มิถุนายน 1973 ขณะที่พระสังฆราช ( ผู้ที่เธอเล่าให้ฟังทุกอย่าง ) กำลังถวายบูชามิสซาในโบสถ์น้อยของอาราม อารักขเทวดาของเธอก็มาปรากฏอยู่ทางเบื้องขวาของเธอ ห่อหุ้มด้วยแสงสว่างมาอยู่เป็นเพื่อนเธอในการภาวนา เสียงของเธอน่าอัศจรรย์ใจมาก สดใสและให้เธอได้ยินเสียงในสมองของเธอราวกับว่ามันเป็นเสียงดนตรีที่มาจากสวรรค์

ระหว่างบูชามิสซาเทวดาได้ถวายตัวเธอเป็นยัญบูชาแห่งความรักแด่พระเยซูเจ้าและมือขวาของเธอก็ปรากฏมีรอยแผลและเลือดเริ่มไหลออกมา เมื่อเธอขอคำอธิบายจากอารักขเทวดาของเธอ ท่านก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ รอยแผลที่คล้ายกันกับรอยแผลของเธอจะปรากฏบนฝ่ามือขวาของพระรูปของพระแม่แต่จะเจ็บปวดกว่ามาก ”

พระรูปนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์ เป็นพระรูปที่ทำด้วยไม้ เป็นศิลปะแบบญี่ปุ่นโดยช่างศิลป์ญี่ปุ่นที่เป็นชาวพุทธคนหนึ่ง เริ่มมีเลือดไหลออกที่พระหัตถ์ขวาไปจนถึงวันที่ 29 กันยายน 1973 อันเป็นวันสมโภชอัครเทวดามีคาแอล องค์อุปถัมภ์ของประเทศญี่ปุ่น

วันที่ 4 มกราคม 1975 พระรูปของพระแม่เริ่มกรรแสงเป็นเลือดอันเป็นการเริ่มต้นของอัศจรรย์ที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนล้านๆต้องมาเยี่ยมดูและชาวญี่ปุ่นที่ไม่ได้เป็นคริสตชนจำนวนล้านๆเช่นกันที่ได้ดูผ่านทางจอโทรทัศน์ พระสังฆราชได้ประกาศว่านั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ ปรากฏการณ์นี้ดำเนินไปจนถึงวันที่ 15 กันยายน 1981 เป็นวันสุดท้ายของ 101 วัน อันเต็มด้วยน้ำตาปนเลือดของมนุษย์ อารักขเทวดาของภคินีผู้บำเพ็ญพรตอธิบายความหมายของตัวเลข 101 ว่า เลข 0 หมายถึงองค์พระเจ้านิรันดร เลขหนึ่งตัวแรกหมายถึงเอวาและเลขหนึ่งตัวที่สองหมายถึงพระแม่มารี ทั้งนี้เพราะว่าบาปกำเนิดเกิดจากสตรีคนหนึ่งและความรอดพ้นก็ได้เกิดขึ้นจากสตรีอีกคนคือพระแม่มารีอาเช่นกัน

ภคินีรักอารักขเทวดาของเธอมากที่สุด เพราะเธอได้เห็นท่านหลายต่อหลายครั้ง วันที่ 2 ตุลาคม 1973 ซึ่งเป็นวันฉลองอารักขเทวดาระหว่างบูชามิสซาขอบพระคุณ เวลาเสกศีลเธอเห็นเทวดาแปดองค์ปรากฏมา กราบนมัสการศีลมหาสนิทที่ส่องประกาย

เป็นอารักขเทวดาของภคินีอีกแปดรูปของนักบวชกลุ่มนั้น ต่างพากันคุกเข่ารอบๆพระแท่นเป็นรูปครึ่งวงกลม ไม่ปรากฏว่ามีปีกและร่างของพวกท่านเป็นแสงล้ำลึกและเจิดจ้าฉายออกมา เทวดาทั้งแปดกราบนมัสการศีลมหาสนิทด้วยความศรัทธายิ่ง ภคินีชาวญี่ปุ่นกล่าวว่า “ ในช่วงเวลารับศีลมหาสนิทอารักขเทวดาของดิฉันได้เชิญดิฉันออกไปข้างหน้าทำให้ดิฉันสามารถแยกแยะอารักขเทวดาของภคินีทั้งแปดของอารามได้อย่างชัดเจน ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพวกท่านนำทางพวกภคินีด้วยความนุ่มนวลและด้วยความรัก สำหรับตัวดิฉันแล้วสิ่งนี้อธิบายให้ดิฉันได้ชัดเจนยิ่งกว่าการอธิบายแบบเทววิทยาเป็นไหนๆ เพราะว่าโดยเหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันเชื่ออย่างมั่นคงถึงการมีอยู่จริงของอารักขเทวดา ”

“ ท่านเคยร้องหาอารักขเทวดาของบุคคลที่อยู่ใกล้ๆตัวของท่านบ้างหรือเปล่า ?”