พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ภคินีบำเพ็ญพรตท่านหนึ่ง เขียนมาเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของเธอกับอารักขเทวดาระหว่างบูชามิสซาขอบพระคุณว่า วันหนึ่ง เวลาเสกศีลโดยที่ไม่ได้นึกไม่ได้ฝันดิฉันเห็นอารักขเทวดาของดิฉันมาอยู่ทางด้านขวาของดิฉัน จมอยู่ในการกราบนมัสการพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทด้วยใบหน้าซบลงกับพื้น หลังจากการยกศีลแล้วจึงสามารถมองเห็นหน้าของท่านได้ เป็นใบหน้าที่สง่าและสวยงามที่สุด จนทำให้ดิฉันไม่อาจจะลืมได้ เพราะมันได้ประทับลงในห้วงลึกของจิตใจของดิฉัน ดิฉันไม่เคยเห็นใบหน้าที่สง่างามเช่นนี้และในเวลาเดียวกันก็เต็มไปด้วยความใจดีและความบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรักและความสุข รอยยิ้มของท่านสวยงามที่สุด มันเป็นมุมหนึ่งของเมืองสวรรค์เลยทีเดียว ท่านยืนเคียงข้างดิฉันจนถึงเวลารับศีล ท่านติดตามดิฉันไปรับพระเยซูเจ้าแล้วก็อันตรธานหายไป ”

นักบวชหญิงอีกท่านหนึ่ง จากประเทศบราซิลเขียนเล่าว่า “ นับตั้งแต่เด็กมาแล้วที่ดิฉันได้เป็นเพื่อนกับอารักขเทวดาของดิฉัน เราพูดคุยกันแบบคนเวลาพบเห็นกัน มีหลายครั้งที่ท่านได้ช่วยดิฉันให้รอดพ้นจากอันตรายหรือชี้ให้เห็นอันตราย เวลาที่ดิฉันยังเป็นเด็กอยู่ได้เคยมีความตั้งใจที่จะตั้งชื่อที่มีความหมายทางบริสุทธิ์ให้แก่ท่าน ดิฉันจึงตั้งชื่อให้ท่านว่าเชเลสเต ( ชาวสวรรค์ ) และยังคงเรียกท่านด้วยชื่อที่เรามักเรียกเด็กว่าเชเลสตีโน เวลาที่ดิฉันทำวัตรอยู่บนที่นั่งของนักขับร้องดิฉันก็ได้เชิญท่านให้มาอยู่เคียงข้างเพื่อจะได้สรรเสริญพระเป็นเจ้าพร้อมกันกับดิฉัน ท่านก็ได้สวดพร้อมกับดิฉัน เราทำงานด้วยกันและทำทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกัน ถ้าจะเล่าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้กระทำพร้อมกันกับอารักขเทวดาของดิฉันแล้วก็คงจะไม่มีวันจบแน่ ”

ภคินีบำเพ็ญพรตท่านหนึ่งจากประเทศสเปนเล่าให้ฟังดังนี้ “ ดิฉันมีความรู้สึกหลายครั้งในชีวิตของดิฉันว่าได้รับการปกป้องจากอารักขเทวดาของดิฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างในวิญญาณของดิฉันรู้สึกว่ามันมืดมนไปหมด ดิฉันไม่มีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องภาวนา ดิฉันพยายามที่จะแสวงหาพระเป็นเจ้าแต่มีความรู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ห่างไกลจากดิฉัน ดิฉันถูกการประจญในเรื่องความเชื่อและได้รับการกระตุ้นให้ทิ้งการภาวนาโดยคิดว่ามันเป็นการเสียเวลา วันหนึ่งดิฉันได้หันไปหาอารักขเทวดาของดิฉันพร้อมกับถามท่านว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทำอะไรอยู่และขอให้ท่านแบ่งความร้อนรนของท่านให้แก่ดิฉันบ้าง ดิฉันคุกเข่าลงพร้อมกับหลับตาแล้วก็มีความรู้สึกภายในตัวดิฉันราวกับว่าอารักขเทวดาของดิฉันและของบรรดาซิสเตอร์กำลังพากันภาวนาอยู่ในโบสถ์ดูเหมือนว่าจะอยู่ต่อหน้าตู้ศีล ทุกคนต่างพากันภาวนาสรรเสริญพระเจ้า … และวิญญาณของดิฉันได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกท่านเหล่านั้น ดิฉันมิได้เห็นด้วยตาของดิฉันเองแต่ว่าวิญญาณของดิฉันเข้าไปสัมผัสกับความร้อนรนของพวกท่านและดิฉันก็ไม่สามารถพูดได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่ดิฉันกลับมีความสงบสุขเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ”

นักบวชหญิงอีกคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า “ มีบางช่วงเวลาในชีวิตของดิฉันที่มีความรู้สึกว่าเทวดาตัวน้อยๆของดิฉันอยู่กับดิฉันแบบพิเศษสุด คือดูเหมือนว่าท่านอยู่ในท่ากราบนมัสการและเชิญชวนให้ดิฉันถวายเกียรติและกราบนมัสการพระตรีเอกภาพในความเงียบและความสันโดษ ดิฉันร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับท่านและดิฉันรู้สึกว่าท่านอยู่ทางด้านขวาของดิฉันไม่ว่าดิฉันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และดิฉันจะสงวนที่ไว้ให้ท่านหรือถ้าจะพูดให้ชัดลงไปก็คือสงวนที่ว่างไว้ให้ท่าน ทุกเช้าท่านจะทำหน้าที่สอนดิฉันด้วยตัวท่านเอง และเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าน สอนดิฉันให้รู้จักปลูกฝังคุณงามความดีไว้ในตัวของดิฉัน

ดิฉันแน่ใจเหลือเกินว่าอารักขเทวดาของดิฉันจูงมือดิฉันเดินโดยผ่านทางท่านและพร้อมกับท่าน ผ่านหนทางแห่งชีวิตจนทำให้ดิฉันปรับเปลี่ยนตัวเองในพระเป็นเจ้าและในธรรมล้ำลึกของพระองค์ ดิฉันถูกจูงมือเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าของดิฉันอย่างแท้จริง บัดนี้ชีวิตของดิฉันเต็มไปด้วยชีวิตของพระเจ้าและอารักขเทวดาของดิฉันก็อยู่เคียงข้างดิฉันด้วย ดิฉันเดินก้าวหน้าไปอย่างมั่นคงเพราะท่านได้ชี้ให้เห็นว่าดิฉันต้องหลีกเลี่ยงอะไรและบอกดิฉันว่า ดิฉันควรทำสิ่งใด บางครั้งบางคราวเจ้าปีศาจพยายามจะดึงเอาสันติสุขอันนี้ไปจากตัวดิฉัน แต่อารักขเทวดาของดิฉันก็ได้ช่วยป้องกันไว้ให้เพื่อให้มั่นคงอยู่กับดิฉันต่อไป ดิฉันรักท่านมาก ”

นี่เป็นพยานหลักฐานของแม่บ้านชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง เป็นจดหมายที่เธอเขียนด้วยลายมือของเธอเอง “ ขณะนั้นดิฉันอายุได้สิบสามปี ในครอบครัวของเรามีบรรยากาศของความตึงเครียดและความแก่งแย่งกัน ดิฉันเป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวมากเหมือนกับคนอื่นๆในครอบครัว ดิฉันดำเนินชีวิตด้วยความทุกข์ทรมานตลอดเวลาและร้องไห้เอามากๆ ดิฉันเป็นเด็กที่ไม่มีความสุขเลย … คืนหนึ่งดิฉันตกใจตื่นขึ้นและมีความประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นบ้านของดิฉันสว่างไสวไปหมด มันเป็นเวลากลางคืนทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะมืดแต่แสงสว่างกลับล้อมรอบตัวดิฉัน เมื่อเข้าไปในห้อง ดิฉันก็เห็นหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าส่องแสงกำลังยืนเฝ้าดูดิฉันอยู่ แต่ดิฉันกลับไม่มีความกลัวอันใดเลย แต่จริงๆแล้วในห้วงลึกของดิฉัน ดิฉันมีความรู้สึกดีใจอย่างมากพร้อมกับมีสันติสุขด้วย ดิฉันมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือรู้สึกดีใจ หนุ่มรูปหล่อผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรกับดิฉันเลยแต่ได้ให้ความสงบสุขอย่างแท้จริงแก่ดิฉันแล้วท่านก็อันตรธานไป ต่อจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในห้องก็กลับมืดเหมือนเดิม

ดิฉันได้รำพึงถึงปรากฏการณ์นี้เป็นเวลาหลายปี เพราะว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้วดิฉันมีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ดิฉันมีความรู้สึกว่ามีใครบางคนที่ติดตามดิฉันและให้การปกป้องดิฉันตลอดเวลา ใช่แล้วเป็นอารักขเทวดาเองที่ติดตามพวกเรา คุ้มครองพวกเรา อาจเป็นไปได้ว่าในคืนวันนั้นท่านอาจต้องการที่จะบรรเทาใจดิฉันและทำให้ดิฉันเข้าใจว่าดิฉันมิได้อยู่คนเดียวในกลางคืนที่มืดมิดของชีวิต … ดิฉันไม่ได้เห็นอารักขเทวดาของดิฉันอีกเลย แต่ดิฉันรู้ด้วยความมั่นใจว่าท่านอยู่ใกล้ตัวดิฉันและรอให้ดิฉันร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน ทั้งนี้เพราะว่าบรรดาเทวดาแม้กระทั่งอารักขเทวดาของเราจะเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตของเราไม่ได้เพราะว่าเราเป็นอิสระและเราจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านก็ต่อเมื่อเราร้องขอ ดิฉันภาวนาถึงอารักขเทวดาของดิฉันและของลูกๆของดิฉันเพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือพวกเขา … ดิฉันได้อ่านหนังสือมากมายหลายเล่มเกี่ยวกับเทวดาเพื่อช่วยให้ดิฉันได้รู้จักท่านดีขึ้นและรักท่านมากยิ่งขึ้น ”

มองซิงญอร์ จูเซปเป เดล ตอน นักเทววิทยาที่มีชื่อของอิตาลีท่านหนึ่งได้เล่าถึงเรื่องของทารกหญิงอายุสี่ขวบคนหนึ่งที่ตกลงไปในก้นบ่อที่มีความลึกประมาณสิบหกเมตร หลังจากที่ได้รับการช่วยให้ขึ้นมาได้แล้วเด็กเล่าให้ฟังว่า ขณะที่เธอตกลงไปนั้นได้มีหนุ่มรูปหล่อที่สุดคนหนึ่งได้จับแขนเธอไว้แล้วให้เธอค่อยๆลงไปจนถึงก้นบ่อแล้วอยู่เล่นกับเธอจนถึงเวลาที่ผู้คนมาช่วยเธอขึ้นมา หนุ่มคนนี้จะเป็นใครเสียเล่าถ้าไม่ใช่อารักขเทวดาของเธอ

คุณพ่อปอล โอซัลลีวัน เขียนในหนังสือ “ เรื่องเกี่ยวกับเทวดาทั้งหลาย ” ของท่านว่ามีสตรีที่ท่านรู้จักคนหนึ่ง กำลังเดินทางไปกับลูกชายอายุสามขวบของเธอ ลูกของเธอได้เอาเท้าไปวางไว้ใกล้ๆประตูและประตูได้เปิดออกอย่างไม่คาดคิดเด็กจึงตกลงไปบนรางรถไฟ คุณแม่รู้สึกตกใจมากได้ร้องหาอารักขเทวดาพร้อมกับดึงสัญญาณเตือนภัย กว่ารถไฟจะหยุดได้ก็ต้องใช้เวลาเพราะว่ามันกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ แต่เมื่อมีคนลงไปเสาะหาเด็กคนนั้นก็ได้พบเขาไม่เป็นอันตรายอะไรเลย มีความยินดีและมีความสุขราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้โดยสารต่างพากันพูดว่า “ เป็นอารักขเทวดาของเขาที่ได้ช่วยเขาไว้ ”

เชซาเร อันเยลีนี นักเขียนชาวอิตาเลียนยุคใหม่เล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่เขาไปร่วมขับร้องทำวัตรค่ำที่อารามเก่าแก่แห่งหนึ่งเขาจะรู้สึกซาบซึ้งเมื่อท่านอธิการขับร้องบทภาวนาสุดท้ายด้วยเสียงดังว่า “ โปรดเสด็จมาเยี่ยมบ้านหลังนี้เถิด พระเจ้าช้า โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายห่างไกลจากบ่วงแร้วของศัตรู โปรดส่งเทวดาของพระองค์มาพำนักในบ้านหลังนี้เพื่อจะได้เฝ้าดูแลข้าพเจ้าทั้งหลายให้อยู่ในสันติสุขและโปรดให้พระพรของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไปเทอญ ” นักเขียนผู้นี้ยังได้กล่าวอีกว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้และหลังจากที่ประตูถูกปิดลงแล้ว เขาก็มีความมั่นใจว่าอารักขเทวดาของเขาอยู่ที่นั่น เขามีความรู้สึกว่าท่านอยู่ที่นั่นเพื่อตัวเขาเองและเพื่อเขาแต่ผู้เดียวเท่านั้น แล้วนั้นเขาก็มีความยินดีอย่างล้นพ้นอย่างที่เขาไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อนเลย

ท่านแน่ใจหรือเปล่าว่าอารักขเทวดาของท่านอยู่กับท่านตลอดเวลา ?