พระอัครสังฆราชกล่าวเสกเหล้าองุ่นต่อทันที ช่วงที่กล่าวอยู่นั้นปรากฏสาย
ฟ้าแลบจากเบื้องบนและพื้นหลัง กำแพงกับเพดานโบสถ์หายลับไป
ทุกอย่างมืดสนิท เหลือแต่แสงโชติช่วงจากพระแท่น


ทันใดนั้น ฉันเห็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขนลอยอยู่กลางอากาศ ฉันเห็น
พระองค์แค่ครึ่งองค์ถึงบริเวณใต้ทรวงอก มีมือขนาดใหญ่และทรงพลังประคอง
ลำแสงที่ไขว้กันนั้นอยู่ จากด้านในของลำแสงที่โชติช่วงนั้นมีแสงเล็กๆเหมือนกับ
นกพิราบที่ส่งประกายเจิดจรัสกระพือปีกบินไปรอบโบสถ์ แล้วมาเกาะอยู่ที่บ่าซ้าย
ของพระอัครสังฆราชที่ยังเห็นเป็นพระเยซูเจ้าอยู่ ที่ฉันแยกแยะออกก็เพราะพระ
เกศายาวสลวยของพระองค์ รอยแผลที่เปล่งแสงที่เห็นได้ชัดของพระองค์และ
พระวรกายของพระองค์ แต่ฉันมองไม่เห็นพระพักตร์พระองค์ เหนือขึ้นไปคือพระ
เยซูถูกตรึงกางเขน พระเศียรเอนลงไปทางไหล่ขวา ฉันสามารถพิจารณาพระ
พักตร์ ส่วนแขนที่ถูกโบยและเนื้อหนังที่เหวอะหวะ ทรวงอกด้านขวามีรอยแผล
พระองค์บาดเจ็บ มีเลือดทะลักออกมาทางซีกซ้ายและซีกขวาเหมือนกับสายธาร
ระยิบระยับ ดูเหมือนลำแสงพุ่งออกมาเป็นสายไปทางสัตบุรุษแล้วเคลื่อนไปทาง
ขวาแล้วก็ทางซ้าย ฉันทึ่งกับปริมาณเลือดที่ไหลชโลมจอกกาลิกษ์ ฉันนึกว่าเลือด
จะไหลล้นออกมาอาบพระแท่น แต่กลับไม่มีสักหยดที่กระเซ็นออกมา ในช่วงนั้น
เอง แม่พระตรัส “นี่คืออัศจรรย์เหนืออัศจรรย์ทั้งหลาย แม่เคยบอกลูกแล้วว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ พอถึงช่วงบทขอบพระคุณ
นั้นผู้มาร่วมพิธีได้ถูกนำไปยังเชิงเขากัลวารีโอในเวลาที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน”


ใครเล่าจะคาดคิดได้ เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เราทุกคนไปอยู่ที่นั่นจริง
ในห้วงเวลาที่พวกเขาตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า แล้วพระองค์กำลังวอนขอให้พระ
บิดาประทานอภัยให้เราแต่ละคนที่ได้ทำบาปด้วย มิใช่เฉพาะคนที่ประหารพระองค์
เท่านั้น “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำ
อะไร”
นับจากวันนั้นมา ฉันได้แต่ขอให้ทุกคนคุกเข่าและพยายามทุ่มเทจิตใจให้
กับสิทธิพิเศษที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เรานี้