พอฉันเดินไปรับศีลมหาสนิท พระเยซูเจ้าบอกฉันว่า “อาหารค่ำมื้อสุดท้ายคือ
ช่วงเวลาที่เราได้ใกล้ชิดลูกของเรามากที่สุด ระหว่างช่วงเวลาแห่งความรักนั้น เรา
ได้ตั้งสิ่งซึ่งมนุษย์มองว่าเป็นการกระทำที่พิเรนทร์ที่สุดและทำให้เราเป็นผู้ถูกจองจำ
เพราะความรัก เราได้ตั้งศีลมหาสนิท เราอยากอยู่กับลูกต่อไปจวบจนสิ้นยุคเพราะ
เรารักลูกเกินกว่าจะทนให้ลูกๆที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตนั้นต้องอยู่อย่างไร้ที่พึ่ง”


แผ่นศีลที่ฉันรับคราวนั้นมีรสชาติต่างไปจากเดิมเหมือนกับเลือดผสมกำยานที่
ซาบซึมไปทั่วสรรพางค์ ฉันสัมผัสรู้ถึงความรักที่เปี่ยมล้นจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ฉันเดินกลับที่ไปคุกเข่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “ฟังสิ...” ต่อมาสักพักฉันเริ่ม
ได้ยินคำภาวนาในใจของผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวหน้าที่เพิ่งไปรับศีลมา สิ่งที่เธอภาวนาใน
ใจอยู่ประมาณว่า ‘พระเจ้าข้า นี่ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว ลูกยังไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่า
บ้าน ค่าส่งรถกับค่าเล่าเรียนของลูกๆเลย พระองค์ต้องหาทางช่วยลูกนะ... ได้
โปรดเถิด อย่าให้สามีของลูกเมาหัวราน้ำแบบนี้ ลูกชักจะทนไม่ไหวแล้ว ลูกคน
สุดท้องก็ต้องเรียนซ้ำชั้นแน่ถ้าพระองค์ไม่ช่วย เขาต้องสอบอาทิตย์นี้แล้ว ...แล้ว
ก็โปรดอย่าลืมเพื่อนบ้านของเราที่ต้องย้ายออกไปรายนั้นด้วย โปรดให้เธอย้าย
ออกทันที ลูกทนเธอไม่ได้อีกแล้ว...”



พระอัครสังฆราชกล่าว “ให้เราภาวนา” แล้วบรรดาพระสงฆ์ก็ยืนขึ้นสวดบท
ภาวนาปิดพิธี พระเยซูเจ้าตรัสอย่างเศร้าสร้อย “ลูกสังเกตคำภาวนาของเธอไหม
ไม่มีช่วงไหนเลยที่เธอบอกว่าเธอรักเรา เธอไม่ขอบคุณเราสักนิดที่เรามอบพระพร
ให้เธอด้วยการลดความเป็นพระเจ้าของเราลงมาสู่ความเป็นมนุษย์ที่น่าสงสารของ
เธอเพื่อยกย่องเธอขึ้นมาหาเรา ไม่มีคำพูดแม้สักคำว่า ‘ขอบพระคุณพระองค์
พระเจ้าข้า’ นี่เป็นบทร่ำวิงวอนเหมือนกับของลูกๆแทบทุกคนที่มารับเรา”