“มิสซาคือตัวเราเองที่ยืดชีวิตของเราออกไป มิสซาเป็นเครื่องบูชาของเราบน
ไม้กางเขนท่ามกลางพวกลูก ปราศจากบุญกุศลแห่งชีวิตและโลหิตของเราแล้ว
ลูกมีอะไรที่จะนำมาถวายเฉพาะพระพักตร์พระบิดาเล่า ไม่มีเลย มีแต่ความน่า
เวทนาและบาป...”



“ลูกสมควรจะมีคุณสมบัติที่ดีและน่าชื่นชมเหนือกว่าเทวดาและอัครเทวดา
เพราะว่าเทวดาไม่มีโอกาสได้ชื่นชมยินดีกับการรับเราเป็นอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณ
อย่างที่ลูกได้รับ พวกเขาดื่มจากพุน้ำได้หยดเดียว แต่ลูกที่มีพระหรรษทานในการ
รับเรานั้นมีทั้งมหาสมุทรให้ดื่มกิน”


อีกเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอ่ยถึงด้วยความปวดร้าวนั้นเกี่ยวข้องกับคน
ที่มาพบพระองค์ด้วยความเคยชิน คนที่หมดความเลื่อมใสยำเกรงในการพบพระ
องค์แต่ละครั้ง ความจำเจเปลี่ยนให้บางคนเย็นเฉยจนเขาไม่มีอะไรใหม่ๆมาเล่าให้
พระเยซูเจ้าฟังเวลาเขารับพระองค์ พระองค์ตรัสด้วยว่าวิญญาณผู้ถวายตัวจำนวน
ไม่น้อยหมดความร้อนรักพระองค์แล้ว ทำให้กระแสเรียกของเขาเป็นเพียงอาชีพๆ
หนึ่ง เป็นอาชีพที่ไม่มีอะไรจะให้อีกแล้วเว้นแต่ในสิ่งที่คนเรียกร้อง แต่เป็นการให้
ที่ไร้ความรู้สึก...

แล้วพระองค์เอ่ยถึงผลที่ควรเกิดจากการที่เรารับศีลมหาสนิทแต่ละครั้ง มีคน
ที่รับพระองค์ทุกวันแต่ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตเลย เขาใช้เวลาสวดภาวนานานหลาย
ชั่วโมง เขาสร้างผลงานหลายอย่าง แต่ชีวิตกลับไม่ได้เปลี่ยนสภาพ บุญกุศลที่เรา
ได้รับในมิสซาควรส่งผลให้เรากลับใจและมีความรักความเมตตาต่อบรรดาพี่น้อง
ของเรา เราผู้เป็นฆราวาสมีบทบาทสำคัญในพระศาสนจักร เราไม่มีสิทธิ์เงียบเสียง
เพราะพระได้ส่งเราออกไปประกาศพระวรสารในฐานะที่เราทุกคนได้รับศีลล้างบาป
แล้ว เราไม่มีสิทธิ์ซึมซับรับความรู้นี้ไว้คนเดียวโดยไม่แบ่งปันให้ผู้อื่น แล้วปล่อย
ให้พี่น้องของเราต้องอดตายในขณะที่เรามีอาหารเหลือเฟืออยู่ในมือ เราควรไป
เยี่ยมเยียนคนเจ็บหนักที่หมดทางเยียวยาแล้วช่วยเขาด้วยการสวดสายประคำพระ
เมตตาและสวดภาวนาให้เขาหลุดพ้นจากกับดักและการประจญล่อลวงของปีศาจ
คนใกล้ตายทุกคนล้วนมีความกลัว ขอเพียงเรากุมมือเขาและพูดคุยกับเขาเกี่ยว
กับความรักของพระเยซูเจ้าและแม่พระ เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ที่รอคอยเขาอยู่
ในสวรรค์เคียงข้างบรรดาผู้ล่วงลับเพื่อบรรเทาใจเขา