---+++การทำสมาธิในคริสตศาสนา+++---

 

การทำสมาธิในคริสตศาสนา
(ถอดความบางตอนจากการพูดนำการทำสมาธิของ)
คุณพ่อ ลอเรนซ์ ฟรีแมน OSB
ผู้อำนวยการ
The World Communuty for Christian Meditation
WCCM International Centre
London
(Series A,2005)

การทำสมาธิเป็นรูปแบบการภาวนาที่ “จริงใจ” (Sincere) เมื่อเราทำสมาธิเราก้าวเข้าไปสู่รูปแบบการภาวนาที่คริสตชนใน
ยุคแรกเรียกว่า “การภาวนาที่บริสุทธิ์” (Pure prayer)
ที่ว่า “บริสุทธิ์” (Pure) ก็เพราะเป็นการชำระใจให้บริสุทธิ์ปราศจาก
ภาพลักษณ์ต่างๆ ปราศจากอารมณ์กิเลส ความอยาก ความปรารถนา และความกลัวต่างๆ รวมทั้งปราศจากความสลับ
ซับซ้อน ทั้งปวงที่พัวพันเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น สิ่งที่ “บริสุทธิ์” ย่อมเป็นสิ่งที่เรียบง่าย (Simple) ในที่นี้เรากำลังพูดถึง “ความบริสุทธิ์” และ “ความเรียบง่าย” ดังนั้นเมื่อเราทำสมาธิ เราไม่ได้กำลังพูดกับพระเจ้า เราไม่ได้กำลังคิดถึงพระเจ้าด้วยวิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อน เราไม่ได้กำลังนำปัญหาของเรามาโปะให้กับพระเจ้า  และติดบนบอร์ดเพื่อเตือนให้พระเจ้าได้เห็นปัญหาของเราเหล่านี้  เพื่อที่พระองค์จะได้ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ให้เรา เราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยวิธีการภาวนารูปแบบอื่นๆที่เราคุ้นเคยและได้ทำกันมาเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งก็ล้วนเป็นวิธีการภาวนาที่ถูกต้องและมีประโยชน์ทั้งนั้น ฉะนั้น 
การทำสมาธิ ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนการภาวนารูปแบบอื่นๆที่ทำกันอยู่แล้ว แต่รูปแบบการภาวนาที่ “จริงใจ” นี่ต่างหากที่เราควรจะต้องเข้าใจ


การภาวนาที่ “จริงใจ” หมายความว่าอะไร? ในบทที่ 6 ของพระวรสารโดยนักบุญมัทธิว พระเยซูเจ้าทรงสอนเรื่องการภาวนา
ว่า “เมื่อท่านภาวนาจงเข้าไปใน ‘ห้องลับส่วนตัว’ ของท่าน (Your ‘inner’ room) และอธิฐานต่อพระบิดาเจ้าภายในสถานที่ ‘ลับ’ นั้น อย่ายืนภาวนาที่มุมถนนเพื่อให้ใครๆ เขาได้เห็นและยกย่อง” พระองค์ตรัสว่า “จงภาวนาอย่างซื่อๆ อย่ายืนภาวนาที่
มุมถนนเพื่อให้ใครๆ เขาได้เห็นและยกย่อง” พระองค์ตรัสว่า “จงภาวนาอย่างซื่อๆ เรียบง่ายโดยไม่ใช้คำพูดมากมายจงอยู่ใน
“ขณะปัจจุบัน” (At the present moment) และจงละทิ้งความกังวลใจทั้งหลาย เมื่อท่านภาวนา”

คำสอนของพระเยซูเจ้าในเรื่องการภาวนาเป็นคำอธิบายถึงการทำสมาธิที่สมบูรณ์ที่สุด นี่คือเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระอาจารย์สอนการเพ่งพิศภาวนา

แต่ข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อพระองค์ตรัสถึง “ความจริงใจ” ทรงหมายถึง “การภาวนาที่ออกมาจากหัวใจ” บ่อยครั้งที่การทำสมาธินี้
ถูกเรียกว่า “การภาวนาจากใจ” ในความเป็นจริง ตามปกติเมื่อเราภาวนา (ตามที่เราเคยถูกสอนกันมา) เรามักจะภาวนา
โดยมีจุดประสงค์เพื่ออยากจะเปลี่ยนแปลงโลก หรืออยากจะเปลี่ยนแปลงผู้อื่นที่ทำให้เราอารมณ์เสีย หรือเปลี่ยนแปลง
สถานการณ์ที่เป็นปัญหาในชีวิตของเรา และนั่นคือ “จุดประสงค์” (Intention) ของเรา และเราก็นำ “จุดประสงค์” นี้
มาด้วยเมื่อเราภาวนาต่อพระเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์รอบชีวิตเราให้ดีขึ้นและเปลี่ยนชีวิตเราให้
เป็นชีวิตที่ดีขึ้น ฟังดูแล้วการภาวนาอย่างมี “เป้าประสงค์” ในการขออย่างนี้ก็ดูจะไม่ค่อยจริงใจเท่าไรนัก
เพราะหลักการสำคัญของการภาวนามิใช่เพื่อให้เราพยายามเปลี่ยนแปลงโลกรอบข้างของเรา เพราะนั่นเป็นธุระของพระเจ้า เราคิดว่าเราเป็นใครที่จะไปเที่ยวขอให้พระเจ้าไปเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ให้เรา ด้วยเหตุนี้ เราจะภาวนาอย่าง “จริงใจ” ได้ก็ต่อเมื่อเราพร้อมที่จะ “เปิดใจ” เราจริงๆ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการ “เปิดใจ” ของเราและการยอมรับ
ความจริงในตัวเราและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน เป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ “ความจริงใจ” ในการภาวนาของเรา

ดังนั้นในเวลาทำสมาธิ เราจึงไม่นำเอาคำวิงวอนต่างๆ ของเราหรือ “จุดประสงค์” (Intention) ของเราเข้ามาขอกับพระเจ้า เราไม่ต้องเอามาพูดขอเพราะพระองค์ทราบความต้องการของเราอยู่แล้วก่อนที่เราจะเอ่ยปากขอเสียอีก แต่เราต้องให้ “ความสนใจ” หรือ “ความใส่ใจ” หรือมี “ใจจดจ่อ” (Attention) อยู่กับใน “ขณะปัจจุบัน” (At the present moment) ไม่ใช่แสดง “จุดประสงค์” ในการขอโน่นขอนี่ของเรา นี่คือการมองเห็นอันบริสุทธิ์ของการทำสมาธิ เป็นการเพ่งพิศภาวนา ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เก็บความคิดอะไรไว้ในใจของเรา แต่เรากำลังทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ยอห์นเมนกล่าวว่า เราจะรับรู้ความสามารถที่ลึกล้ำที่สุดของเราเมื่อเราทำสมาธิ นั่นคือความสามารถที่จะ “อยู่กับพระเจ้า” (With God) “ในพระเจ้า” (In God) ณ “ที่นี่” (Here) และใน “ขณะนี้” (Now)