พระเยซูเจ้าตรัสว่า
เมื่อเราภาวนา เราต้อง ละทิ้ง ตัวตน ของเราไว้เบื้องหลัง (Leave
Self behind)
พระองค์ตรัสว่า ไม่มีใครเป็นศิษย์ของเราได้เว้นแต่ผู้นั้นจะละทิ้งตนเองไว้เบื้องหลัง
นี่คือเสียงเรียกที่เรียบง่าย
(Simple) สุดขั้ว (Radical) น่าพิศวง (Wonderful) แต่ท้าทายยิ่ง (Challenging)
จากพระวรสารคริสตศาสนา
ไม่ใช่เพียงให้เชื่อบางสิ่งบางอย่าง หรือปฏิบัติตามกฎบางข้อ หรือเคร่งศาสนาในกรอบภายนอก
แต่เรียกร้องให้ ละทิ้ง ตัวตน ไว้เบื้องหลัง นั่นแปลว่าอะไร?
นั่นแปลว่าเราควรจะหยุดการยึดถือตัวเราเอง
เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ควรหยุดการยึดถือตัวเราเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง
เรามักจะห่วงกังวล
ไว้เบื้องหลัง นั่นแปลว่าอะไร? นั่นแปลว่าเราควรจะหยุดการยึดถือตัวเราเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ควรหยุดการยึดถือตัวเราเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เรามักจะห่วงกังวล อยากได้ทุกสิ่งให้เป็นไปตามที่เราต้อง
การ (Our egotistical mind) ให้เราหยุดคิดถึงตนเอง แต่ให้ขยายตัวออกไปจาก
โลก อัตตา (Ego)
ที่คับแคบของเรา (Our narrow ego) และเคลื่อนไหวและขยายตัวเข้าสู่จิตใจของพระคริสตเจ้า
อะไรคือแก่นแท้ของคำสอนนี้ของพระเยซูเจ้า?
ขอให้เราย้อนกลับมายังจุดสำคัญ - - - นั่นคือ ใครที่ต้องการเป็นศิษย์ของเรา
ต้องละทิ้งตัวตนไว้เบื้องหลัง
นั่นหมายความว่าอะไร ให้ ละทิ้ง ตัวตน ของเราไว้เบื้องหลัง ? การละทิ้งตัวตน
ฟังดูอาจมีความหมายในด้าน
อาจหมายถึงการต้องปฏิเสธตัวเอง เป็นเรื่องที่ค่อนข้างต้องบีบคั้นกดดันตัวเอง
(Self-destructive) ทำให้รู้สึก
ห่อเหี่ยวใจ (Repressive) แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ การละทิ้งตัวตน
ไม่ได้หมายความว่าเราต้องบีบคั้นกดดันตัวเอง
ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธการหาความสุขสำราญในชีวิตของเรา หรือต้องลงโทษตัวเราเองไม่ได้หมาย
ความว่าเมื่อเราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น เราต้องปฏิเสธตัวเองละทำให้ตนเองเจ็บมากขึ้น
แน่นอนนั่นไม่ใช่จิตตารมณ์
ของพระวรสารที่ต้องกานให้เราเป็นอย่างนั้น นั่นไม่ใช่บุคลิกของพระเยซูเจ้า
พระวรสารของพรเยซูเจ้าเกี่ยวข้องกับ
การค้นพบ สันติสุข และความชื่นชมยินดี (Peace and joy) และแบ่งปันคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนี้ให้
แก่ผู้อื่น
เราคงไม่สามารถที่จะมีความสงบสุขได้มากนักหรอก ถ้าเรามีทัศนคติที่เป็นลบต่อตัวเอง
ที่คอยกดดันบีบคั้นตัวเรา
เองอยู การละทิ้ง ตัวตน ไว้เบื้องหลัง ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบ ไม่ใช่เป็นเรื่องการปฏิเสธตัวเอง
หรือลงโทษทำร้ายจิตใจตัวเอง การเจริญชีวิตฝ่ายจิตไม่มีความหมายในแง่ลบ
ที่เรามีแนวโน้มที่จะมองให้แง่ลบ
ก็คงเป็นเพราะบางครั้งในฐานะคริสตชน เราได้รับเอาสภาวะจิตในการมองและคิดในด้านลบ(Negative
state
of mind) มาโดยไม่รู้ตัว เราหมกมุ่นกับความรู้สึกผิด (Guilt) รู้สึกบาป
รู้สึกกลัวในการถูกลงโทษ (Punishment)
กลัวตกนรก และหมกมุ่นกับการคิดว่าความรอดเป็นเหมือนชมรมพิเศษหรือคลับพิเศษที่จำกัดเฉพาะ
สมาชิกบางกลุ่มเท่านั้น มีแต่บางคนเท่านั้นที่ได้รับเรียกให้เขาได้ ส่วนคนอื่นๆ
จะถูกกีดกันไม่ให้เข้า
แต่ทั้งหมดนี้ไม่เป็นจริงและไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับพระวรสารของพระเยซูเจ้า
พระวรสารท้าทายให้เรามีชีวิตชีวา
มิใช่ให้เราตื่นตระหนกหวาดกลัว พระเยซูเจ้าไม่ทรงต้องการให้เรารู้สึกผิด
(Guilty)นั่นไม่ใช่ความหมายของการ
สำนึกผิดที่ได้ทำบาป (Repentence) พระองค์ทรงบอกให้เราสำนึกผิด ซึ่งแปลว่า
ใช่ ! ฉันได้ทำผิดไปจริง..
ฉันไม่ได้ทำเต็มที่ตามที่ฉันควรทำสุดๆ ตามศักยภาพของฉัน...แต่ต่อไปนี้
ฉันจะทำตัวให้ดีกว่านี้แต่ความรู้สึกผิด
(Guilt) เป็นสภาวะจิตในด้านลบที่บ่อนทำลาย ในพระวรสารของพระเยซูเจ้าไม่มีข้อความใดเลยที่เสนอภาพของ
พระเจ้าผู้ต้องการลงโทษเรา บาปมีโทษทัณฑ์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
พระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องลงโทษเรา
พระเจ้าไม่ทรงต้องการจะลงโทษเรา เพราะมันขัดกับภาพลักษณ์ของพระเจ้าซึ่งเป็นภาพแห่งความรัก
เพราะการ
ลงโทษไม่ได้อยู่ในธรรมชาติของความรัก จริงอยู่ ที่ความรักโดยทั่วไปสามารถทำให้เราเจ็บปวดได้
ความรักอาจจะ
นำมาซึ่งความจริงที่แย่ที่เราต้องยอมรับด้วยความเจ็บปวดก็ได้ แต่ความรักไม่ลงโทษ
แล้วเหตุใดเล่าที่เราคริสต
ชนจึงยึดมั่นอยู่กับภาพลักษณ์ของพระเจ้าผู้จะลงโทษเรา? เราไม่สามารถรักพระเจ้าผู้จะลงโทษได้
ถ้าท่านคิดถึง
คิดถึงใครบางคนที่จะลงโทษท่าน ย่อมเป็นการยากที่ท่านจะรักเขาได้ไว้ใจเขาได้

ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นความจริงว่า การละทิ้ง ตัวตน ไว้เบื้องหลัง ไม่เกี่ยวข้องกับการเจริญชีวิตฝ่ายจิตในแง่ลบ
ไม่เกี่ยวข้องกับการบีบคั้นกดดันหรือความรู้สึกผิด แต่หมายถึง การปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
(Liberation)
คือ ปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากความหมกมุ่นยึดติดอยู่กับ อัตตา นิยมทั้งปวง
(Egotistical obsessions)
ให้หลุดพ้นจากโลกที่ผูกพันอยู่กับ อัตตา (Ego-bounded world) ให้หลุดพ้นจาก
คุก แห่งความเห็นแก่ตัว
(Selfishness) คิดถึงแต่ตนเอง (Self-centeredness) ให้หลุดพ้นจาก คุก
แห่งกิเลสและความปรารถนา
(Desires) หรือแรงกิเลสที่กระตุ้นบังคับ (Com-pulsion) หรือการเสพติด (Addiction)
หรือความกลัว และความ
ไม่มั่นใจในตัวเอง (Insecurity) ฉะนั้น การละทิ้ง ตัวตน ไว้เบื้องหลัง
คือ การละทิ้ง อันตา หรือ ตัวกูของกู
ไว้เบื้องหลัง และออกจาก คุก เล็กๆ นี้ไปสู่ที่โล่งกว้างแห่งจิต-
- -ออกไปสู่อิสรภาพของบุตรของพระเจ้า