ในตอนท้ายของพระวรสารของนักบุญมัทธิว พระเยซูเจ้าบอกเราว่า
จงอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะแต่ละวันก็
มีทุกข์ของมันพอแล้ว ในที่นี้ พระองค์กำลังพูดถึงการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และอย่างซื่อสัตย์ใน
ขณะปัจจุบัน อยู่ตลอดเวลา จงอยู่ใน ขณะปัจจุบัน จงอยู่กับความจริง
อันที่จริง เมื่อท่านเข้าใจและค้นพบ
ว่า การอยู่ใน ปัจจุบัน หมายถึงอะไร และการมีชีวิตใน ขณะปัจจุบัน เป็นอย่างไรแล้ว
ท่านจะค้นพบด้วยตนเอง
ว่า ในขณะที่ท่านทำสมาธิในแต่ละวัน ท่านไม่ได้ลืมอดีต ท่านไม่ได้ขาดความรับผิดชอบต่ออนาคต
แต่ทั้งอดีต
และอนาคต สัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ใน ขณะปัจจุบัน จริงอยู่
อาจมีบางเรื่องในอดีตที่ท่านยังต้องจัด
การ มีธุรกิจคั่งค้างที่ท่านต้องไปทำให้เสร็จ มีความรับผิดชอบทางอารมณ์
หรือทางศีลธรรมที่ท่านยังไม่ได้จัดการ
ซึ่งเกิดจากอดีตหรือพฤติกรรมในอดีต บางทีอาจมีบางสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจเกี่ยวกับอดีตที่ท่านต้องทำความเข้าใจ
ก่อนจะดำเนินชีวิตต่อไป และแน่นอนท่านจะไม่เพิกเฉยต่ออนาคต และไม่เสแสร้งว่าไม่มีอนาคตท่านยังคงจ่ายเบี้ย
ประกันภัยและภาษีรถยนต์ของท่าน ท่านยังจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าเพื่อให้ได้ตั๋วในราคาถูกเป็นพิเศษ
อดีตและมี
ความเป็นจริงบางอย่างที่เราต้องเคารพ และปฏิเสธไม่ได้

แต่ท่านจะค้นพบว่า ในขณะที่ท่านเรียนรู้ที่จะอยู่กับ ขณะปัจจุบัน
ท่านจะกังวลน้อยลงเกี่ยวกับอนาคต
และ ท่านจะถูกอำนาจในอดีตควบคุมบีบคั้นท่านได้น้อยลง ชีวิตท่านจะไม่ถูกทับถมครอบงำด้วยความกลัว
ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือความทรงจำในอดีต ท่านจะไม่ติดกับอยู่ในอดีต
โดยเฉพาะอดีตที่สร้างความโกรธ
แค้น ความรู้สึกผิด หรือความเศร้าให้กับท่าน เป็นธรรมดาที่เราทุกคนมีความขัดแย้งกับผู้อื่นหรือกับคนในครอบครัว
หรือมีคนทรยศหักหลังเรา มีความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน มีนายจ้างที่ให้เราออกจากงาน
หรือเราอาจทะเลาะกับเพื่อน
ฯลฯ ประสบการณ์ในอดีตของเราเหล่านี้มีอิทธิพลมาก และเรามักไม่ลืมมันโดยง่าย
เราอาจต้องต่อสู้กับการที่จะ
ให้อภัยเป็นเวลานานหลายๆ ปี บ้างก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จข แต่เมื่อท่านได้ค้นพบความหมายของการอยู่
ขณะปัจจุบัน แล้ว ท่านก็จะพบว่าท่านสามารถรับมือกับความทรงจำที่ขมขื่นและประสบการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต
เหล่านั้นได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ดีขึ้น และด้วยความสงบมากขึ้น การเพ่งพิศภาวนาทำให้เราเป็นอิสระเมื่อ
พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์เสด็จมาชี้ทางให้แก่เรา และนำเราไปสู่ความบริบูรณ์ของชีวิต
เพื่อให้เราดำรงชีวิตอย่าง
และใช้ศักยภาพมนุษย์ของเราอย่างเต็มที่พระองค์ตรัสว่า ความจริง
จะปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ และนั่นเป็น
สิ่งที่เราค้นพบผ่านการทำสมาธิ- - -ซึ่งก็ คือ ความจริง
สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญของคำสอนของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับการภาวนาที่เราพบได้ในบทเทศน์บนภูเขา
(Sermon on the Mont) - - - - นั่นคือ การเป็น
อิสระ จากความหมกมุ่นและยึดติดอยู่กับเรื่องเปลือกนอก
การฝึกจิตภายใน (Interiority) ความเงียบ ความไว้วางใจ ความสงบของจิตใจ
การมีสติ และการอยู่ใน
ขณะปัจจุบัน และถ้าท่านจะถามว่า ฉันจะนำคำสอนดีๆ เหล่านี้ไปปฏิบัติได้อย่างไร?
ก็เท่ากับท่านกำลังถามว่า
ฉันจะภาวนาอย่างไร? และคำถามเหล่านี้ เช่น ฉันภาวนาอย่างแท้จริงได้อย่างไร?
ฉันจะภาวนาให้ลึกซึ้งได้
อย่างไร? ฉันจะภาวนาให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร? ฯลฯ เมื่อเราถามคำถามเหล่านี้อย่างจริงใจ
คำถามเหล่านี้จะนำเรา
ปสู่การเดินทางฝ่ายจิตในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น จะนำเราไปตามเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนด
ท่ามกลางความกรุณาของ
ไปสู่การภาวนาที่เราพบในหัวใจของเรา
Christian Meditation Centre (Thailand)
51/1 Sedsiri Road
Bangkok 10400
Contact: Emili Ketudat
Tel: 662-271-3295
Fax: 662-271-2632
E-mail: sketudat@mozart.inet.co.th