๔. มารีย์ สาวกแท้: สาวกคนแรกของพระเยซู

น้อยนักที่เราจะเห็นใครกล่าวว่าพระมารดามารีย์ คือสาวกของพระเยซู เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องแม่พระ เรามักจะมองว่าพระองค์คือสาวพรหมจารีย์ พระเจ้าทรงเลือกเธอเป็นมารดาของพระมหาไถ่ ที่กล่าวมาถูกต้องทีเดียว แต่นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนอย่าง Dr.Virginia Fabella มีความเห็นว่า “ ถ้าอัครสาวก คือบุคคลที่นำเสนอคำสอน และวิถีชีวิตของพระเยซูเจ้า ...ดังนั้นพระมารดามารีย์ คือสาวกคนแรกของพระองค์” เพราะว่าความเชื่อของมารีย์แสดงออกโดยการกระทำ ตั้งแต่เริ่มแรกที่สาวน้อยมารีย์ได้ฟังทูตกาเบรียลว่าเธอจะตั้งครรภ์ โดยฤทธิ์เดช ของพระจิตเจ้าเป็นแผนการของพระเจ้า เธอเชื่อและตอบสนองทันที มารีย์ไม่ได้เป็นเพียงมารดาฝ่ายเนื้อหนังของพระเยซูคริสต์ แต่แบบอย่างที่เธอวางไว้อย่างงดงามนั้นคือ “การเป็นสาวกที่แท้จริง” เพราะเธอเต็มไปด้วยความเชื่อ วางใจในพระบุตร ตลอดชีวิตของเธอได้เรียนรู้คำสอน การดำเนินชีวิตจากพระเยชู บุตรชายสุดที่รักของเธอ เธอเรียนรู้พระวาจาของพระเจ้ามาตลอด เธอนำคำสอนนั้นปฏิบัติในชีวิต


วาทะที่พระเยซูตรัสขณะถูกตรึงที่กางเขนว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด" และ “ จงดูมารดาของท่านเถิด” (ยอห์น ๑๙.๒๖,๒๗) นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนเห็นว่าแท้จริงแล้ว พระเยซูไม่ได้หมายถึงให้สาวกดูแลแม่แก่ๆของพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายให้พระมารดามารีย์ทำหน้าที่แทนตามที่พระนางได้เรียนรู้จากพระองค์ และทรงยืนยันกับเหล่าสาวกที่กำลังเสียกำลังใจว่าถึงแม้พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขายังสามารถเรียนรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของพระบุตรผ่านสาวกคนแรกคือ พระมารดามารีย์ได้ ซึ่งแม่พระสามารถเป็นหัวหน้า ดูแล หนุนใจ ชี้แนะพวกเขาได้ เพราะแม่พระเรียนรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าก่อนที่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ ภายหลังเมื่อพระเยซูคริสต์ประสูติแล้ว แม่พระทรงเรียนรู้จากพระเยซูเจ้าโดยการเลี้ยงดูฟูมฟัก การเคียงข้างพระองค์ตลอดสามสิบสามปี แม่พระทรงเห็นการอัศจรรย์มากมายที่บุตรชายของนางได้สำแดง


นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียน ต้องการชี้ประเด็นแก่โลกว่าแม่พระไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอ แม่พระทรงเป็นสาวกคนแรกของพระเยซูเจ้า เพราะ ความจริง พระมารดามารีย์ทราบตั้งแต่แรกว่าลูกชายของนางจะต้องทนทุกข์ ต้องให้ชีวิตแก่ชาวอิสราเอลและชาวโลก ดังนั้นแม่พระทรงเหมาะสมที่จะเป็น “เสาหลัก” ดูแลเหล่าสาวกแทนพระเยซูคริสต์ เพราะพระมารดามารีย์ทรงพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าพระนางเป็นสตรีแข็งแกร่ง ทรงผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาตลอดชีวิตตั้งแต่รับสารจากทูตสวรรค์กาเบรียล โดยแม่พระตอบสนองว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” (ลูกา ๑.๓๘ ) ตั้งแต่วินาทีนั้น แม่พระมีประสบการณ์ตื่นเต้น ท้าทายความเชื่อตลอดเวลา ซึ่งทำให้พระนางเองต้องพึ่งพาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แม่พระผ่านความทุกข์ขมขื่น เดียวดาย ความเจ็บปวดที่ลูกชายสุดที่รักได้รับมาตลอด จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ถูกพิพากษาโดยเพื่อนร่วมชาติตัดสินประหาร ก่อนถูกประหารสิบสองชั่วโมงสุดท้าย ที่พระบุตรเจ็บปวด พระมารดายิ่งรวดร้าวใจแทบขาด พระนางจึงเคียงข้างพระบุตรในพระมหาทรมานครั้งนี้ด้วย ความรักและเต็มใจยิ่ง


๕. มารีย์ ร่วมพันธกิจกับพระเจ้า: มีส่วนร่วมในแผนการไถ่มนุษยชาติ

เมื่อผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องพระนางมารีย์ จึงไม่แปลกใจที่พี่-น้องคริสตังได้ยกย่องแม่พระว่าเป็นมารดาของประชาชาติ เพื่อนคาทอลิกบางคนให้ความเห็นที่น่ารักว่า เมื่อเราเป็นทายาทร่วมสายโลหิตกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูทรงเป็นพี่ชาย แล้วเราผู้เชื่อเป็นน้องพระเยซู มารดาของพระเยซูคือแม่ของพวกเราด้วย เมื่อฟังความคิดของเพื่อนเช่นนี้ก็ทึ่งกับการอธิบายที่ดีของเพื่อน อย่างไรก็ตาม ฉันไม่กล้าตีสนิทเป็นน้องพระเยซูเพราะรู้สึกขนลุกในความต่ำต้อยของตัวเอง มิบังอาจไปเทียบกับพระองค์ แต่ในเวลาเดียวกัน ในกรอบคริสเตียน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์อย่างมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิต เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ถ้าฉันจะวิงวอนต่อแม่พระ ก็ไม่ถนัดเอาเสียเลย จนทำให้เพื่อนคริสตังบางคนอึดอัดใจที่ฉันไม่ค่อยทักแม่พระ ทั้งๆที่สนิทสนมกับลูกชายของแม่ จนคริสตังบางคนรู้สึกว่าฉันไม่นับถือแม่ของพระเยซูคริสต์

นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า พระมารดามารีย์ทรงมีส่วนสำคัญที่สุดสำหรับแผนการไถ่ของมนุษยชาติ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้พระเยซู พระบุตรมาเกิดในโลกนี้ มีเนื้อหนังเป็นมนุษย์แท้ พระบุตรจะต้องอยู่ในครรภ์สตรีเพศเหมือนทารกปกติคนหนึ่ง ได้รับการเลี้ยงดูแบบทารกของมนุษย์คนหนึ่ง พระราชกิจของพระเจ้าคือการไถ่บาปจะสำเร็จไม่ได้ ถ้าไม่มีสตรีคนใดร่วมมือ ขณะเดียวกันพระเจ้าทรงเลือกสตรีที่เหมาะสมโดยพระองค์เอง และให้เสรีภาพในการตัดสินใจแก่สตรีคนนั้นด้วย .....นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนจึงหันมาทบทวนบทบาทของแม่พระต่อแผนการไถ่ และเห็นพ้องต้องกันว่าแม่พระคือผู้ร่วมแผนการไถ่ คือเป็นผู้ที่มีส่วนที่ทำให้แผนการไถ่มนุษยชาติ เป็นไปได้หรือสำเร็จ


ยิ่งกว่านั้นด้านนักศาสนศาสตร์สตรี กล่าวว่า “มารีย์คือผู้ได้รับการไถ่เป็นคนแรก โดยการยอมรับการทรงเรียกจากพระเจ้าในเป็นผู้ร่วมในแผนการไถ่” อีกนัยหนึ่งพูดได้ว่า เพราะความกล้าหาญ เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสผ่านทูตสวรรค์กาเบรียลผู้นำสารมาถึงเธอว่า พระเจ้าทรงเลือกเธอให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ มารีย์ ไม่สงสัยสิ่งที่ทูตกาเบรียลบอกเลย แต่กลับรับคำด้วยความชื่นชมยินดี นี่คือแบบอย่างที่ดีแก่คริสตชนในการวางใจพระเจ้าทั้งหมด ทั้งๆที่สิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้นหรือยังไม่เข้าใจ มารีย์มั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่เห็นนั้นมีจริง เธอเชื่ออย่างไม่สงสัย วางใจพระเจ้าทั้งหมด ด้วยการตัดสินใจร่วมในแผนการไถ่อย่างไม่ลังเลของเธอ มารีย์จึงเหมาะสมที่จะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าอย่างแท้จริง

จึงสรุปว่า
นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนกำลังให้ความสำคัญและเพิ่มบทบาทของพระมารดามารีย์ โดยนำเสนอรูปแบบชีวิตของพระนางที่สตรีเอเชียควรเลียนแบบ ในการติดตามพระเจ้า การแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ สตรีในคริสตจักรโปรเตสแตนต์น่าจะเลียนแบบจากพระมารดามารีย์ โดย ยึดเอา “มารีย์ สาวพรหมจารีย์: ต้นแบบของกุลสตรี” แสดงบทบาทการเป็นมารดาและการอุทิศชีวิตในพระราชกิจของพระเจ้าเหมือน “มารีย์ มารดาผู้ประเสริฐ:อุทิศชีวิตแด่พระเจ้า” เราสามารถมีใจเดียวร่วมทุกข์กับคนที่ทุกข์ใจ ร้องไห้กับคนที่เจ็บปวด ชื่นชมยินดีกับคนที่มีความสุข เหมือน “มารีย์ ในหน้าที่ของน้องสาว:ร่วมทุกข์กับสตรีอื่น” ถึงแม้เราจะไม่ใช่สาวกคนแรกของพระเยซู แต่เราสามารถเป็นสาวกแท้เหมือน “มารีย์ สาวกแท้: สาวกคนแรกของพระเยซู” และเราไม่ใช่คนที่พระเจ้าเลือกมาร่วมแผนการทรงไถ่ แต่พระองค์ทรงเลือกเราให้ได้รับการไถ่เพราะ “มารีย์ ร่วมพันธกิจกับพระเจ้า:มีส่วนร่วมในแผนการไถ่มนุษยชาติ”

หมายเหตุ; ตีพิมพ์ในอิสระรายปักษ์ ปักแรก กรกฏาคม 2004

และบนเว็บบอร์ด issara.com

http://www.issara.com/article/mother-mary.htm