แต่กระนั้นก็ดี ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์มีอิสระมากขึ้นที่จะสำรวจความเชื่อ และ ธรรมเนียมปฏิบัติของกันและกัน ทั้งสองฝ่ายต่างเปิดใจและยอมรับกันและกันมากขึ้น

การที่สิทธิสตรีมีบทบาทมากขึ้นก็ทำให้เรื่องราวชีวิตของสตรีคนต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ความสนใจของทางโปรแตสแตนท์ต่อเรื่องนี้ทวีมากขึ้นขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเชิงปฏิบัติ และ ในทางพระคัมภีร์ เนื้อหาเมื่อกว่า 1,500 ปีก่อน ทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับเรื่องของแม่พระในยุคสมัยก่อนมากยิ่งขึ้น การอพยกเข้ามาของพวกชนชาวสเปน และแถบลาตินอเมริกา จากสังคมวัฒนธรรมของทางคาทอลิก มาอยู่ร่วมกับสังคมของโปรแตสแตนท์ มีส่วนช่วยหล่อหลอมและทำให้บทบาทการเคารพพระนางมารีย์มีมากขึ้นไปด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่เกิดแค่กับบทเทศน์ที่มีการหยิบยกพูดถึงพระนางมากขึ้น แต่รวมถึงพิธีกรรม ความศรัทธาส่วนบุคคล และ มุมมองที่เปลี่ยนไปด้วย

แต่กระนั้นก็ดีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตอบกลับมามากเช่นกัน

อัลเบิร์ต โมเลอร์ ผู้นำของ เซาท์เธิร์น บัพติส คอนแวนต์ ได้กล่าวโจมตีผู้ที่กล่าวแสดงประวัติของพระนางเพื่อที่จะสร้างแนวคิดใหม่ทางเทวศาสตร์ขึ้นมาเกี่ยวกับพระนางมารีย์นั้นผิด ในข้อหา “ถลำลึกเกินไป” และ “คิดปรารถนาเอาเอง” และ “ไปประนีประนอมกับทางคาทอลิก”

คาร์ล บราทเท็น นักเทววิทยาของทางลูเธอร์ลัน กล่าวว่า
“เราไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหาทางคาทอลิก เราสามารถกลับยังรากเหง้า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเราได้ เรื่องนี้สามารถทำได้ง่ายๆโดยไม่ต้องกระทบต่อสภาคริสตจักรเลย ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา บางสิ่งอาจจะดี บางสิ่งอาจจะเลวร้าย แต่ผมคิดว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่”