ในยุคแรกเริ่มพระศาสนจักร
บรรดาคริสตชนยังได้ให้ความสำคัญต่อพระนางเป็นพิเศษ ในปี 431 สภาแห่งเอเฟซัส
ได้ให้การรับรองพระนางว่าทรงเป็น Theotokos หรือ พระมารดาของพระเจ้า
แต่เป็นที่ยอมรับกันว่าการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในเรื่องของพระนางมารีย์นั้นมีน้อยมาก
เมื่อเทียบกับเรื่องของพระเยซูเจ้าที่ถูกเน้นหนักมากกว่าเป็นพิเศษ เรื่องแนวคิดว่า
พระบุตรของพระนางมารีย์ กับ พระผู้ไถ่ เป็นคนละคนกัน ถูกถือว่าเป็นแนวความคิดที่นอกรีตเทียมเท็จ
ข้อเชื่อนี้ทำให้ ข้อเชื่อเรื่อง การที่พระเจ้าทรงรับเอากายเนื้อหนังมาบังเกิดเป็นมนุษย์กลายเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมน้อยลงด้วยการยอมรับว่าพระองค์มีพระมารดาเป็นมนุษย์
และ ข้อเท็จจริงว่าทรงประสูติจากพระนาง
เมื่อเวลาผ่านไป
บทบาทพระนางมารีย์พระมารดาของพระเจ้าก็ถูกรวมเข้ากับบทบาทในฐานะอื่นๆเพิ่มมากขึ้น
เช่นในยามที่นักบวชได้ทำรำพึงจิตภาวนาถึงพระมหาทรมานของพระเยซูคริสต์ พระนางมารีย์ก็มีบทบาทในฐานะผู้ร่วมในพระมหาทรมานอย่างพิเศษ
จากนั้นจึงมีการเรียกแม่พระว่า มารดามหาทุกข์ และพระนางมารีย์ก็ได้ถูกเรียกว่า
ราชินีสวรรค์ พระชนนีของพระเป็นเจ้า พระแม่แห่งความเมตตากรุณา และอื่น
ๆ โดยแต่ละพระนามก็สะท้อนแต่ละคุณลักษณะของพระนาง แต่ฉายาที่สำคัญที่สุดคือ
คนกลางผู้เปี่ยมเมตตาของมวลมนุษย์ ในขณะที่ทางศาสนจักรก็เติบโตขึ้นโดยเน้นบทบาทของพระคริสต์ในฐานะผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม
ผู้ตัดสินที่เข้มงวดในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายได้ทำให้เกิดช่องว่างขึ้น
และบรรดาผู้เชื่อมองพระแม่มารีย์ว่าเป็นผู้ช่วยแก้ต่างคนพิเศษของพระเยซู
ที่จะช่วยเป็นทนายให้เรา ในปี 1568 สมเด็จพระสันตะปาปา ปิอัส ที่ 5 ได้ทรงเติมประโยค
โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตาย เข้าไปในบทสวดวันทามารีอา
ซึ่งประชาชนอาจเพียงสวดด้วยความเคยชิน
ฟิลิป เมลังค์ทอน นักปฏิรูปศาสนาหัวรุนแรงในช่วงปี
1500 กล่าวว่า ผู้ศรัทธาพากันร้องเพลงสวดสรรเสริญว่า ข้าแต่พระมารดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย
พระนางสถิตในสวรรค์
เขาแสดงความคิดเห็นอีกว่า ความจริงเรื่องนี้คือ
ผู้คนแทนที่พระเยซูด้วยพระนางมารีย์