วิวัฒนาการจากเซลเพียงเซลเดียว

เซลเพียงเซลเดียวที่เกิดโดยไม่คาดฝัน บางทีอาจเกิดจากฟ้าผ่าลงมาในน้ำ รวมตัวกับคาร์บอน หรือ บางทีอาจเป็นไนโตรเจน เมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเข้ามาทำให้เงื่อนไขการเกิดชีวิตกำเนิดขึ้น และทั้งหมดนี้เกิดจากความบังเอิญ ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เคยอธิบายว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีเพียงอธิบายไว้ว่ามีเซลอยู่หนึ่งเซล และ สร้างตัวมันเองขึ้นมาจากการแบ่งตัว ดังนั้นทฤษฎีวิวัฒนาการจึงอธิบายว่าเมื่อพลังงานไฟฟ้าสร้างเซลแรกขึ้นมา มันยังมอบกลไกทั้งหมดให้กับเซลนั้นที่จำเป็นในการแบ่งตัวอีกด้วย และตอนนั้น โครงสร้างทาง DNA ก็เกิดขึ้นมา วิทยาศาสตร์ไม่เคยพิสูจน์ตรงนี้ในห้องทดลอง และ ไม่มีคำอธิบายว่าชีวิตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างกรดอะมิโน และ สารเคมีต่างๆขึ้นมาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถสังเคราะห์ประกายไฟฟ้าแห่งชีวิตขึ้นมาได้

หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับนักวิทยาศาสตร์คือ การยอมรับว่าทฤษฎีการวิวัฒนาการนั้นผิด โรงเรียนทั่วไปจะสอนว่าทุกชีวิตนั้นเริ่มต้นจากเซลเพียงเซลเดียว ส่วนวิวัฒนาการคือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสภาพ เด็กเล็กๆจะเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง แต่เมื่อเขาศึกษามากขึ้น เขาจะถูกสอนเรื่องทฤษฎีการวิวัฒนาการ แทนที่จะกระทำอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์พิจารณาหลักฐานทั้ง 2 ด้าน ในแต่ละแง่มุม พวกเขากลับปฏิเสธแนวคิดสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหมดแทน และทิ้งความเชื่อที่ไม่มีวันกลับคืนมาได้อีก

คนๆหนึ่งเรียนรู้ศึกษาสิ่งต่างๆ โดยเริ่มจากครอบครัว สิ่งรอบๆตัว เพื่อน และไม่จำเป็นต้องมีแนวคิดตรงกันไม่ว่าจะแง่นักวิทยาศาสตร์ หรือ คริสตศาสนิกชน ผู้นับถือศาสนาคริสต์หลายคนจะพยายามหาเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ศรัทธาของตน มนุษย์เรายอมรับวิทยาศาสตร์ที่คนเราสร้างขึ้น และ ยึดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้นเหนือคำกล่าวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล การวิวัฒนาการ แทนที่ การสร้างของพระเจ้า เป็นต้น พวกเขาจะไม่ยอมรับเรื่องปาฏิหาริย์ที่พระเยซูคริสต์สำแดงตามข้อความที่บันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นจริง แต่จะมองว่าเป็นการบรรยายเหตุการณ์แบบเกินจริง และคำของประกาศกถูกมองว่าเป็นนิยาย หรือ บทประพันธ์ ที่มิใช่เรื่องจริง พวกเขาปฏิเสธพระวาจาของพระเจ้า ถ้ามีส่วนที่พวกเขาจะยอมรับได้ในพระคัมภีร์ ก็มีแต่ส่วนที่สามารถสนับสนุนจุดยืนของพวกเขาเท่านั้น

ช่องว่างในปฐมกาล (Genesis) เป็นตัวอย่างของความพยายามที่จะทำให้พระวาจาของพระเจ้าสอดคล้องกับ “ ความรู้ ” ที่ยอมรับได้ในทางวิทยาศาสตร์ ในแง่ “ ความจริง ” เรารู้ได้ว่าช่วงเวลาราวกับนิรันดรได้ล่วงเลยไประหว่าง ปฐมกาล บทที่ 1 : 1 กับ ปฐมกาล บทที่ 1 : 2 โดยวันแห่งการสร้างของพระเจ้าในแต่ละวัน ไม่ใช่วันที่วัดตามมาตรฐานทั่วไปของเรา แต่เปรียบได้กับร่วมพันปีต่อวัน ในพระคัมภีร์มีกล่าวไว้ว่า แรกเริ่มพระเจ้าทรงเนรมิตทุกสรรพสิ่งขึ้นมา ซึ่งนี่ก็สอดคล้องกับแนวคิดกับยุคทางธรณีวิทยา เราไม่ควรมาถอดความในพระคัมภีร์ให้ออกมาในแง่ที่รับกับอคติในใจของเราเอง หรือ แบบที่เราอยากได้ยิน เราตัดสินโลก และ กฎทุกอย่างตามที่เราเห็น ตัวอย่างเช่น เราอาจมองที่ชายคนนึงกล่าวว่า “ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เขาเป็นเด็กทารก ” แต่นี่ถูกหรือ ? แล้วอาดัมละเคยเป็นเด็กทารกมาก่อนไหม หรือ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพศชายที่โตแล้วขึ้นมาเลย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ตอนแรกเริ่มที่ถูกสร้าง เขาต้องเป็นทารกมาก่อน และถ้าเขาเป็นทารกมาก่อน เขาเอาชีวิตรอดได้อย่างไรโดยไม่มีผู้ปกครองดูแล แต่ถ้าทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แล้วมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำให้อดคิดถึงปริศนาที่ยังไม่มีคนหาคำตอบได้ว่า “ ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ”

ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา เขาเป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ การพัฒนาการทั้งหมดครบถ้วนแล้ว ระบบตั้งแต่ระบบขับถ่ายถึงระบบสมองของเขาทำงานครบถ้วนพร้อมหมด และพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่ในจิตวิญญาณของเขา ไม่ใช่ในร่างกายเนื้อของเขา เหมือนที่กล่าวไว้ใน Colossians ว่า

“ เขาคือฉายาลักษณ์ของพระเป็นเจ้าผู้มองไม่เห็น ”

ถ้าพระเป็นเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคนให้สมบูรณ์แบบทั้งหมด ทำไมพระองค์จะไม่สร้างโลกด้วยแบบเดียวกัน แล้วโลกมีประวัติการสร้างแบบอาดัมไหม ถ้าไม่...ทำไม?

ถ้าคุณเชื่อว่าทฤษฎีการวิวัฒนาการนั้นถูกต้อง และเซลแรกเพียงเซลเดียวสร้างรูปแบบทั้งหมดขึ้นมา หมายความว่า เซลนั้นได้ผ่านช่วงเวลาราวกับนิรันดร และ แต่ละรุ่นของเซลนั้นได้ปรับสภาพเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยทฤษฎีว่าไว้ว่าเซลนั้นต้องทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้สามารถมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปได้ และเซลตัวนี้รวมตัวกันเกิดเป็นชีวิตขึ้นมา โดยแบ่งได้สามสาขาใหญ่ๆคือ พืช แมลง และ สัตว์ ทำไมถึงมีแค่ 3 สาขาละ ? นี่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ หรืออีกนัยหนึ่งเรื่องนี้ไม่ถูกกล่าวถึง เพราะการศึกษาทั้งหมดที่เราศึกษานั้น เราศึกษาจากสาขาทั้ง 3 ที่เกิดขึ้นมา คือ พืช ตามมาด้วยแมลงที่มีรูปแบบความคิดอ่าน แต่มีรูปแบบเลือด และ กลไกการทำงานของร่างกายต่างจากสัตว์ มีทั้งประเภทสัตว์เลือดอุ่น และ สัตว์เลือดเย็น ซึ่งแยกเป็นประเภทที่หลากหลายมากมายนับไม่ถ้วน และทั้งหมดนี่เกิดจากเซลเพียงเซลเดียวไม่ว่าจะกลายพันธุ์แปลกแค่ไหนก็ยังตกอยู่ในแค่ 3 สาขานี้เท่านั้น ซึ่งถ้าอ้างอิงจากทฤษฎีการวิวัฒนาการแล้ว เซลหนึ่งเดียวตอนแรกเริ่มนั้นคือบรรพบุรุษของทุกสรรพสิ่ง