วิทยาศาสตร์และศาสนามีบทบาทเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกัน
ถ้าหากว่าเรายอมรับความแตกต่างนั้น ไม่มีปัญหาที่จะทำให้ความรู้หรือความคิดทั้งสองอย่างนี้เข้ากันได้
เริ่มมีปัญหาและการขัดแย้งกัน เมื่อใช้วิธีการของระดับหนึ่ง เพื่อจะอธิบายหรือตอบคำถามของอีกระดับหนึ่ง
เราขอเปรียบเทียบกับรถยนต์และคนขับรถ ระบบเครื่องและโครงสร้างของรถยนต์เป็นเรื่องหนึ่ง
และการใช้หรือการขับรถเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุเพราะความผิดของคนขับรถ
ไม่ควรจะโทษผู้สร้างรถหรือระบบเครื่อง สาเหตุของอุบัติเหตุคือคนที่ขับรถไม่ชำนาญหรือขับรถไม่เป็น
ตรงกันข้ามมีบางกรณีที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะสภาพของรถไม่ดี ผู้ที่ขับรถอาจจะมีความสามารถและความชำนาญมาก
แต่อุบัติเหตุคงเกิดขึ้นเพราะว่ามีข้อบกพร่องในระบบเครื่องหรือโครงสร้างของรถยนต์
ในกรณีนี้เราจะโทษคนขับรถไม่ได้ ความผิดอาจจะอยู่ที่ผู้สร้างรถหรือช่างซ่อมรถ
เครื่องยนต์และการขับรถเป็นสองระบบที่แตกต่างกัน ถ้าเราเห็นคนหนึ่งที่ขับรถไม่เป็นพบกับอุบัติเหตุรุนแรงเมื่อขับรถเบนซ์
และเราสรุปว่ารถเบนซ์ ไม่มีคุณภาพ แน่นอนเราคงสรุปผิดแล้ว เมื่อบางคนใช้ข้อมูลของวิทยาศาสตร์เพื่อปฏิเสธคุณค่าของศาสนาหรือการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า
เขาสรุปผิดเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทและวิธีการเฉพาะของทั้งสองระดับ
นักปรัชญาบางคนไปตามรูปแบบของ
Feuerbach หรือพวกปฏิฐานนิยมและถือว่าศาสนาหรือพระเป็นเจ้าเป็นหนทางให้คำตอบสำหรับปัญหาที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้
แต่ทัศนคติแบบนี้เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนาเป็นการใช้ศาสนาเพื่อชดเชยความจำกัดของวิทยาศาสตร์
แต่ศาสนาไม่เป็นอย่างนี้
แนวคิดของบุคคลนิยมช่วยให้พ้นจากปัญหาแบบนี้ วิธีการของนักปรัชญาบุคคลนิยม
ไม่ได้พยายามใช้วิทยาศาสตร์เลย จุดเริ่มอยู่ที่มนุษย์เอง มนุษย์ในฐานะที่เป็นบุคคลมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง
มีอะไรที่เป็นส่วนประกอบหรือเงื่อนไขสำหรับการดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ วิธีนี้เป็นการเปิดหนทางนำไปสู่ศาสนา
เพราะว่าชีวิตมนุษย์ไม่เป็นเพียงแต่เรื่องชีววิทยา ชีวิตเป็นข้อลึกลับชนิดหนึ่งที่ต้องมีความหมาย
ต้องมีเป้าหมายที่อยู่นอกวงของกายภาพ ในอีกแง่หนึ่ง บุคคลนิยม ( G. Marcel,
E.Mounier, P.Ricoeur) สังเกตว่า การดำเนินชีวิตคือการพัฒนามุ่งไปถึงความสมบูรณ์
มนุษย์แต่ละคนยังขาดความสมบูรณ์ครบครันในการเป็นบุคคลคือในความรู้ ในเสรีภาพการเป็นตัวของตัวเอง
และความสมบูรณ์ครบครันนี้จะเกิดมาไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เปิดตัวเอง สัมพันธ์กับผู้อื่น
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องสัมพันธ์กับผู้ที่สมบูรณ์กว่ามนุษย์ ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์
เหนือโลก และที่สมบูรณ์อยู่แล้ว แน่นอนแต่ละศาสนาจะเข้าใจผู้สมบูรณ์นี้ตามรูปแบบที่แตกต่างกัน
อาจจะเรียกว่า "ธรรม" และ "นิพพาน" หรือจะเรียกว่า
"พระเป็นเจ้า" แต่ทุกศาสนาบอกว่ามนุษย์ต้องสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรือผู้ใดผู้หนึ่งที่อยู่เหนือมนุษย์เหนือโลก เป็นการตอบสนองความปรารถนาที่อยู่ลึก
ๆ ในจิตใจของมนุษย์ และเป็นพละกำลังทำให้มนุษย์ดำเนินชีวิตมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์
ที่นี่เราอยู่ห่างไกลจากเขตของวิทยาศาสตร์แล้ว แต่จำเป็นต้องขึ้นไปถึงระดับนี้เพื่อจะพบความหมายแท้ของศาสนา
คือการมอบเป้าหมายสำหรับชีวิตมนุษย์