พอถึง ภาควจนพิธีกรรม แม่พระให้ฉันกล่าวตามดังนี้ “พระเจ้าข้า วันนี้ลูก
ปรารถนาจะฟังพระวาจาของพระองค์แล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โปรด
ให้พระจิตของพระองค์ชำระจิตใจของลูก เพื่อให้พระวาจาของพระองค์จำเริญ
งอกงามขึ้นภายในและบันดาลให้จิตใจของลูกมีแต่เจตนาอันดีงาม”



แม่พระตรัส “แม่อยากให้ลูกตั้งใจฟังบทอ่านและบทเทศน์ของพระสงฆ์ให้ดี
ระลึกไว้เถิดว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระวาจาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะไม่กลับ
มาไร้ผล
(เทียบ อสย.55:11) ถ้าลูกเอาใจใส่ บางสิ่งที่ลูกได้ยินมาจะดำรงอยู่กับลูก
ลูกควรพยายามรำลึกถึงพระวาจาที่ทำให้ลูกประทับใจเหล่านั้นไปตลอดวัน
บางครั้งมีสองข้อ ครั้งอื่นอาจเป็นบทอ่านพระวรสารทั้งหมด หรืออาจเป็นแค่คำเพียง
คำเดียว จงชื่นชมกับข้อคิดที่ได้ไปตลอดวันแล้วถ้อยคำนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของลูก
เพราะนั่นเป็นลู่ทางที่เปลี่ยนชีวิตคนเรา โดยการยินยอมให้พระวาจาของ
พระเป็นเจ้าเปลี่ยนลูก ... ถึงตอนนี้ จงบอกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าลูกพร้อมจะฟังแล้ว
บอกพระองค์ว่าลูกอยากให้พระองค์ตรัสในจิตใจของลูกวันนี้”


ฉันขอบคุณพระเป็นเจ้าอีกครั้งที่ให้ฉันมีโอกาสได้ฟังพระวาจาของพระองค์
และฉันวอนขอให้พระองค์ยกโทษให้ฉันด้วยที่ฉันทำใจแข็งมานานหลายปี ทั้งยัง
สอนลูกๆอีกว่าพวกเขาต้องไปวัดวันอาทิตย์นะเพราะเป็นข้อกำหนดของพระ
ศาสนจักร และไม่ได้บอกลูกๆว่าให้ไปวัดเพราะรักพระและต้องการให้พระเติมเต็ม
ชีวิตเขา ฉันไปร่วมพิธีมิสซาบ่อยมาก ส่วนใหญ่ไปเพราะปฏิเสธไม่ได้ และเพราะ
เหตุนี้เองฉันจึงเชื่อว่าฉันรอดแน่ แต่จิตใจไม่ได้เข้าถึงพิธีกรรมแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง
บทอ่านหรือบทเทศน์ของพระสงฆ์เลย! เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดนักเมื่อความไม่รู้
ทำให้ฉันต้องเสียเวลาไปนานหลายปีโดยใช่เหตุ! เราไปร่วมมิสซาอย่างฉาบฉวย
เวลาที่เราไปเพราะมีพิธีแต่งงาน มีมิสซาปลงศพ หรือไปเพียงเพื่อออกงานสังคม!
เราไม่ได้รู้เรื่องของพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์เลย! เรามัวแต่งมสอนตัวเองให้
รู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกวัตถุที่ล่วงสูญไปได้ในพริบตา แล้วก็มิได้ต่อชีวิตคนเรา
ให้ยืนยาวออกไปได้สักนาที! แต่เราผู้เรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ผู้เจริญแล้วกลับไม่รู้
ในเรื่องที่ทำให้เราได้ลิ้มรสสวรรค์บนแผ่นดินอันเป็นชีวิตนิรันดรต่อภายหลัง!