การวัดด้วยวิธีทางอะตอมมิค
วิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้หลักทางฟิสิกส์ในการประเมินอายุชั้นหิน
และ ฟอสซิล เทคนิคนั้นในฟิสิกส์คือกฎพื้นฐานเรื่อง การสงวนพลังงานและวัตถุ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นจะดำรงอยู่ในรูปหนึ่งของวัตถุและพลังงาน ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าไว้ว่า
พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และทุกสิ่งที่ถูกสร้างก็สมบูรณ์ในตัวของมันเอง
แนวคิดนี้สัมพันธ์กับกฎทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถสร้างบางอย่างจากความว่างเปล่าได้
แต่พลังงานสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นได้ สูตรทางคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกฎการเปลี่ยนแปลงของพลังงานอิสระนี้คือ
F
= H - TS
F = Free Energy
H = Heat Energy
T = Absolute
Temperature
S = Entropy
ตามกฎว่าไว้ว่าพลังงานอิสระจะลดลงโดยที่พลังงานความร้อนจะเพิ่มขึ้นจนไม่มีพลังงานอิสระเหลืออยู่ในระบบ
โดยที่กฎนี้ว่าไว้ว่าจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆก้าวเข้าหาจุดดับของตัวมันเองเรื่อยๆ
ถ้าโลกมีอายุร่วมพันล้านปี ทำไมมันไม่ถึงจุดดับเสียทีละ แล้วจักรวาลต้องดำรงอยู่ได้ด้วยพลังงานที่มาจากนอกจักรวาล
แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการว่าไว้ว่าไม่มีอะไรดำรงอยู่นอกจากจักรวาลของตัวมันเอง
ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ขัดแย้งกันเอง
คาร์บอน 14
(CI4) เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดระยะเวลา ด้วยคุณสมบัติการแผ่รังสีที่ลดลง
จึงใช้ในการวัดระยะเวลา แต่เราจำเป็นต้องรู้ส่วนผสมหลักที่เจือปนอยู่ในตอนแรกเป็นมาตราฐาน
แล้วมาตรฐานในการอ้สงอิงละอยู่ที่ไหน? พวกเขากำหนดหินที่เรียกว่า มูนดัส
(moon dust) หรือ Genesis Rock เป็นมาตรฐาน เพราะมันเป็นหินที่อยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์มายาวนานแสนนาน
แต่แม้แต่วัตถุนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันมีต้นกำเนิดมาอย่างไร? หรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่
?
อีกวิธีหนึ่งในการวัดค่าทางอะตอมมิคคือด้วย
โปแตสเซี่ยม และ ยูเรเนี่ยม เชื่อว่าเทคนิคนี้สามารถวัดอายุได้อย่างถูกต้องแน่นอนได้ไปถึง
4 พันล้านปี วิธีนี้เคยใช้ในการทดลองหาอายุของมูนดัสต์ แต่นั่นเป็นวิธีที่ผิดเพราะยูเรเนี่ยม
238 มีคุณสมบัติเสื่อมตัวลง การสลายเสื่อมตัวลงเริ่มจาก ยูเรเนี่ยม 234 ตามมาด้วย
ทอเรียม เรเดียม และตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงระดับ 206 โดยที่ตัวเลข 206
คือระดับอะตอมมิคของโมเลกุล