สูตรพีชคณิต
สูตรทางวิทยาศาสตร์หลายสูตรใช้สูตรทางพีชคณิต
(exponential) มาประกอบด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคิดคำนวณความเร็วการเคลื่อนที่ของแสง
การสลายตัวของการแผ่รังสีนับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้สูตรนี้ เรานำตัวแปรครึ่งชีวิตมาคิดเทียบเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป
วิทยาศาสตร์แสดงให้เราดูว่ายูเรเนียมจะสลายตัวลดลงตามเวลาที่เพิ่มมากขึ้น
และสามารถวาดเป็นเส้นโค้งระยะเวลาตามสูตรพีชคณิตได้ แม้แต่การเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลาชีวิตในสมัยปฐมกาลตั้งแต่ระยะเวลาของโนอาห์จนถึงโจเซฟก็แสดงได้ในเส้นโค้งของสูตรพีชคณิต
โดยแสดงด้วยภาพเส้นโค้งที่โค้งลง ระยะเวลาอายุขัยของมนุษย์ที่ดูสั้นลงเรื่อยๆเหมือนการลดลงของสภาพการแผ่รังสีของวัตถุ
ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า อายุขัยของมนุษย์จะลดลงจนเหลือแค่ 120 ปี
สังเกตจากอายุของบรรพบุรุษมนุษย์
ในสมัยก่อนอายุขัยของมนุษย์นั้นมากกว่าปัจจุบันมาก คนหนึ่งสามารถมีอายุได้มากถึง
900 ปีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้จบลงตั้งแต่สมัยโนอาห์เป็นต้นมา บิดาของโนอาห์ตายเมื่ออายุ
777 ปี
หลานชายของโนอาห์
ชื่อว่า นิมรอด เป็นนักล่าที่เก่งกาจผู้สร้างนครบาเบลอันนำไปสู่หอคอยบาเบลในเวลาต่อมา
ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ประชาชาติต่างๆกระจัดกระจาย และ พูดภาษาต่างกัน หากเทียบเวลาช่วงหลังจากนั้นจะเข้ากับสมการพีชคณิตเส้นโค้งตกลง
จำนวนประชากรที่ลดลง และ อายุขัยที่ลดลง แม้แต่เรื่องการลดลงของสนามแม่เหล็กโลกที่ได้กล่าวมาก็เป็นพีชคณิต
ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าโลกน่าเป็นดาวที่เต็มไปด้วยสนามแม่เหล็กเมื่อ
หมื่น -2 หมื่นปีมาแล้ว และสนามแม่เหล็กนี้ลดลงเรื่อยๆแบบเส้นโค้งที่ตกลงเช่นกัน
จนเป็นโลกแบบที่เราอยู่ทุกวันนี้ การเกิดของประชากร หรือ การเจริญเติบโตของพืชผักในฤดูใบไม้ผลิก็เป็นพีชคณิตเช่นกันถ้าปัจจัยภายนอกทางธรรมชาติอยู่ครบ
กฎทางวิทยาศาสตร์ว่าไว้ว่า
พลังงานไม่สามารถสร้างหรือทำลายลงได้ แต่พลังงานสามารถแปรสภาพได้ และ หน่วยวัดพลังงาน
entropy ต้องเพิ่มขึ้นเสมอ ซึ่งจากกฎนี้ทำให้เราทราบว่าโลกเราค่อยๆตายลงทุกวันตามสภาพจักรวาลที่พลังงานลดลงเรื่อยๆ
ตาม entropy ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาพเสื่อมถอยลดลงทุกวัน
แล้วทำไมความเร็วแสงเป็นสิ่งเดียวละที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขนี้ แนวคิดทฤษฎีการวิวัฒนาการต้องการให้เราเชื่อว่าทุกสิ่งเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
และ มีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆอย่างเป็นรูปแบบ ไม่ใช่อย่างเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งนี่เป็นแนวคิดหลักของทฤษฎีการวิวัฒนาการ จุดเด่นของออกซิเจนนับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงถึงข้อขัดแย้งของทฤษฎีนี้
ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตทุกชีวิต น้ำเป็นส่วนผสมที่มีเอกลักษณ์
เมื่อมันเย็น มันหนาแน่นมากขึ้น ภายใต้จุดเยือกแข็ง 0 องศาเซลเซียส น้ำกลายเป็นวัตถุแข็ง
และเริ่มแผ่ขยายตัว ขณะที่สิ่งอื่นๆเมื่อได้รับความเย็นจะเริ่มหดตัว แต่น้ำกลับต่างออกไป
ความหนาแน่นมากขึ้นเมื่อได้รับความเย็นจากผิวหน้าลงมาเหมือนอย่างบนผิวหน้าน้ำแข็งในทะเลสาป
แน่นอนหากน้ำเริ่มแข็งจากด้านล่างสัตว์น้ำในนั้นคงตายหมด น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งของมนุษย์
นอกจากเป็นองค์ประกอบที่มากสุดในร่างกายและเซลแล้ว น้ำยังทำหน้าที่ในการไหลเวียนสารอาหาร
กรด และ เลือดในร่างกายทุกอย่าง
แนวคิดวิวัฒนาการว่าไว้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
ถ้าเช่นนั้นทำไมร่างกายของเรากับของเหลวต่างๆในร่างกายเราถึงเกิดขึ้นจากส่วนประกอบของน้ำด้วยรูปแบบทางเคมีที่ต่างจากปกติ
ไอสไตน์เคยพูดถึงสูตร
E=mc2
E = Energy
M = Mass (Matter)
C = Speed of
Light
กฎนี้ว่าไว้ว่าวัตถุและเหตุการณ์ต่างๆเดินทางจากรูปแบบพลังงานสูงสู่พลังงานต่ำ
ตัวอย่างเช่นถ้าเราวางกาแฟร้อนๆแก้วหนึ่งเอาไว้ มันจะเย็นลงเมื่อเวลาผ่านไป
หรืออีกนัยหนึ่งความร้อนจากกาแฟพยายามทำให้ห้องร้อนขึ้น คือ การแสวงหาสมดุลยภาพนั่นเอง
หรือจากกฎแรงดึงดูด ที่น้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ตามกฎ และ สิ่งที่ซับซ้อนจะเปลี่ยนสู่สิ่งที่สามัญลง
ส่วนแนวคิดการวิวัฒนาการกล่าวว่าทุกอย่างเริ่มจากสิ่งง่ายๆคือเซลเดียวพัฒนามาเป็นรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนอย่างคนทุกวันนี้
ซึ่งแน่นอนขัดกับกฎทางฟิสิกส์