2.
ทำไมวิทยาศาสตร์เป็นปัญหา
เนื้อหาของศาสนาและเนื้อหาของวิทยา-ศาสตร์แตกต่างกันมาก
ทั้งสองอยู่ต่างระดับ และไม่น่าจะมีการกระทบต่อกันและกัน แต่ถ้าหากว่าเราจะมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวคิดของหลาย
ๆ คน เราก็เห็นว่าคนใช้วิทยา-ศาสตร์เป็นการต่อต้านศาสนา ตามรูปแบบของปฏิฐานนิยม
ที่ใช้ข้อมูลของวิทยาศาสตร์เพื่อจะปฏิเสธพระเป็นเจ้า แน่นอนประสิทธิภาพของวิทยาศาสตร์
ทั้งในการอธิบายให้เหตุผล และในด้านปฏิบัติและการประยุกต์เพิ่มความสำคัญ
และน้ำหนักของมันในโลกทัศน์ของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน แต่ทำไมบางคนสรุปว่าโลกทัศน์ของศาสนาเป็นเพียงแต่จินตนาการหรือภาพหลอกตา
? เราจะขออ้างถึงสามประการช่วยให้คำตอบบ้าง
ประการแรกเกี่ยวข้องกับวิธีการเฉพาะของวิทยาศาสตร์
เมื่อวิทยาศาสตร์สังเกตค้นคว้าและอธิบายปรากฏการณ์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของจักรวาลหรือชีววิทยา
จำเป็นต้องอยู่ภายในวงของสิ่งที่สัมผัสและทดลองได้ พระเป็นเจ้าหรือสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ
ก็อยู่นอกเหนือวิธีการของวิทยาศาสตร์ด้วย หมอที่กำลังพิจารณาคนป่วย จำเป็นต้องหาเหตุผลของโรคในระบบโครงสร้างของร่างกาย
ถ้าจะบอกว่าโรคมาจากพระเป็นเจ้าหรือเป็นผีที่ทำให้เกิดขึ้น หมอออกจากวิธีการของวิชาแพทยศาสตร์
เช่นเดียวกันผู้ที่พยากรณ์อากาศต้องหาเหตุผลของพายุที่เกิดขึ้นในกฎของธรรมชาติเอง
โดยไม่ต้องอ้างถึงพระเป็นเจ้า แต่วิธีการนี้ ไม่ได้แสดงหรือพิสูจน์ว่า
ไม่มีพระเป็นเจ้า สิ่งเดียวที่ปรากฏนี้คือการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าอยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์
และนักวิทยาศาสตร์ไม่ควรจะใช้ข้อมูลของวิทยา-ศาสตร์เพื่อจะยืนยันหรือปฏิเสธสิ่งที่อยู่นอกขอบค่ายของมัน
อีกประการหนึ่งขึ้นกับวัฒนธรรมประเพณีของโลกตะวันตก
แนวความคิดของชาวตะวันตกไปตามรูปแบบของเหตุผลนิยม ในด้านความรู้คนยุโรปต้องการเข้าใจ
ต้องสามารถให้เหตุผลหรือพบข้อพิสูจน์สำหรับทุกอย่างได้ ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็เช่นเดียวกัน
นักปรัชญาส่วนใหญ่ได้พยายามหาเหตุผลหรือพิสูจน์การมีอยู่ของพระเป็นเจ้า
เมื่อได้เจอประสิทธิภาพของวิธีการต่างๆทางวิทยาศาสตร์ในการให้เหตุผล และข้อพิสูจน์แล้ว
ได้มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีเดียวกัน เพื่อจะพิสูจน์พระเป็นเจ้าได้ แต่เมื่อสังเกตว่าวิธีนั้น
ไม่สามารถพิสูจน์ได้แล้ว คงจะปล่อยให้ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อแต่อย่างเดียว
คือเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว ถ้าหากว่าพระเป็นเจ้าและข้ออื่นของศาสนาเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ไม่ได้แล้ว
ตามที่ Kant ได้แสดงในการวิเคราะห์ความรู้ของมนุษย์ ก็ทำให้เกิดแนวโน้มว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ
ถ้าไม่มีเหตุผลก็ควรจะทิ้งไปเลย สิ่งที่เป็นความจริงคือสิ่งที่มีเหตุผลแต่อย่างเดียว
และเนื่องจากว่าการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ สามารถให้เหตุผลสำหรับหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นข้อลึกลับในสมัยก่อน
หลายคนคิดว่าขอบเขตของความเชื่อหรือศาสนานั้น แคบลงมากขึ้นทุกวัน เริ่มมีการยืนยันว่า
ทีละนิดทีละน้อยวิธีการของวิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายทุกสิ่งได้ ถ้ามนุษย์ได้ใช้ศาสนาและพระเป็นเจ้าเพื่อจะอธิบายสิ่งที่ไม่มีเหตุผล
วันหนึ่งจะมาถึงแล้วที่เราจะไม่ต้องการพระเป็นเจ้าแล้ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเหตุผลอย่างชัดแจง
สำหรับคนที่มีแนวคิดเหตุผลนิยมแบบนี้ ศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว
จะต้องสลายไป และวิทยาศาสตร์จะต้องขึ้นมาแทน
ประการที่สาม คือ ความคิดที่เรามีเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า
ผู้ที่เชื่อถึงพระเป็นเจ้านั้น มองดูพระเป็นเจ้าอย่างไร มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือความเข้าใจถึงพระเป็นเจ้าหลายครั้ง
แสดงออกในรูปแบบที่เป็นการชดเชยความจำกัดของวิทยาศาสตร์ หลายคนคงจะยอมรับวิธีการและผลของวิทยาศาสตร์
แต่เมื่อจะพบปัญหาที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ ก็จะบอกว่าเหตุผลหรือการตอบคือพระเป็นเจ้า
เช่นเรื่องจุดเริ่มของมนุษยชาติ คงยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยทั่วไป แต่เมื่อจะพบปัญหาเรื่องการต่อเนื่องจากสัตว์ถึงมนุษย์
จะเห็นว่าวิทยาศาสตร์ยังมีปัญหาในการหาข้อมูลพอที่จะยืนยันว่า มนุษย์มาจากสัตว์
หลายคนคงจะบอกว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากสัตว์ แต่มาจากพระเป็นเจ้า คือพระเป็นเจ้าได้สร้างมนุษย์โดยตรง
ความคิดแบบนี้คงจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด คือทำให้พระเป็นเจ้าเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งภายในกระบวนการของธรรมชาติ
ความคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จะรับไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทางที่พระเป็นเจ้าจะเป็นปรากฏการณ์เหมือนปรากฏการณ์อื่น
ๆ ของธรรมชาติที่สังเกตหรือสัมผัสได้ พระเป็นเจ้าคงเป็นสาเหตุสร้างมนุษย์ขึ้นมา
แต่เป็นสาเหตุที่อยู่นอกกระบวนการของธรรมชาติ ไม่มีทางที่นักวิทยาศาสตร์จะพบพระเป็นเจ้าในการสังเกต
วิเคราะห์หรือทดลองปรากฏการณ์ทางกายภาพ เช่นเดียวกันวิธีพิสูจน์การมีอยู่ของพระเป็นเจ้าที่อยากแสดงว่า
พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลกจักรวาล เป็นข้อพิสูจน์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยยอมรับ
เราอาจจะเปรียบเทียบโลกจักรวาลที่ซับซ้อนมากและมีระเบียบกับเครื่องจักร
นาฬิกาหรือบ้านใหญ่โตและสวยงาม เครื่องจักรนาฬิกาหรือบ้านนั้นต้องมีคนวางแผนและสร้างไว้ให้เป็นแบบนี้
เช่นเดียวกัน โลกจักรวาลต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งวางแผนและสร้างไว้และผู้นี้แหละคือพระเป็นเจ้า
นักปรัชญาหลายคนได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ว่าไม่เพียงพอและใช้ได้ยาก
ข้อพิสูจน์นี้ทำให้คิดว่าต้องมีปฐมเหตุของโลกก็จริง แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าปฐมเหตุนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากสาเหตุอื่น
ๆ ทางกายภาพ ยังไม่มีอะไรที่แสดงว่าผู้ที่เป็นปฐมเหตุนั้นเป็นผู้เดียวกับพระเป็นเจ้าที่ศาสนาเคารพนับถือ
มีวิธีใช้การพิสูจน์แบบนี้ที่ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของวิทยาศาสตร์ และคนที่มีเหตุผลเพียงแต่แค่นี้
เพื่อจะเชื่อถึงพระเป็นเจ้า คงได้รับการกระทบมากจากการก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์
ข้อพิสูจน์ตามเหตุตามผลแบบนี้อาจจะมีประโยชน์น้อยทีเดียว และยังไม่เพียงพอเพื่อจะสร้างพื้นฐานที่แน่นอนสำหรับความเชื่อถึงพระเป็นเจ้า
ข้อสังเกตทั้งสามประการนี้
แสดงว่าวิทยาศาสตร์และศาสนาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ตราบใดที่จะอยู่ภายในวิธีการและขอบค่ายของวิทยาศาสตร์
คงไม่มีทางที่จะพบพระเป็นเจ้าหรือหลักสำคัญของศาสนาพระเป็นเจ้าหรือสิ่งสูงสุดที่มีความสำคัญในชีวิตมนุษย์และทำให้ชีวิตนั้นมีความหมาย
ก็เป็นอุตรภาพ คืออยู่นอกเหนือเขตของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่จะสัมผัสได้ และเพื่อจะมุ่งไปถึงระดับของอุตรภาพนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิธีของวิทยาศาสตร์